30 ธันวาคม 2555

ของขวัญปี 2556

สวัสดีปีใหม่...ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือปี ค.ศ. 2013

ในที่สุด บล็อกเล่าไปเรื่อยเปื่อย พร่ำเพรื่อ และเพ้อพรรณนา ก็เตาะแตะตั้งไข่มาได้ครึ่งปี
ลึกๆ นึกว่าจะไม่รอดและปลาสนาการหายไปแบบดาดดื่นตามธรรมชาติ
แม้นหลังๆ พลังไฟที่จะอัพบล็อกเกิดสนิทขึ้นเขลอะแล้วพาลเกียจคร้านโรยแรง

ปีเก่า ๒๕๕๕ ใกล้จะผ่านพ้นอีกปีแล้ว...วูบวาบใจหายเช่นกัน
ในเมื่อเหลือเวลาอีกไม่นาน...จะก้าวข้ามผ่านไปสู่ปีใหม่
จึงขอฝากฝังและจดจารบทกลอนพื้นๆ เพื่อบันทึกอารมณ์พล่านๆ ที่พรายกระซิบแผ่วๆ
ไว้เป็นอดีตซึ่งในอนาคตยามแก่ชราภาพอาจได้กลับมาอ่านทบทวนความหลังบ้าง



ของขวัญปี 2556

สวัสดีปี ๒๕๕๖
อาจเป็นปีที่สะทกสะท้านไหว
หรือเป็นปีที่ความฝันนั้นอยู่ไกล
เกินเอื้อมจะคว้าไขว่ไว้ได้ทัน

ปีเก่าผ่านไป...ปีใหม่ก็ผ่านมา...
ขณะเข็มนาฬิกาหมุนเปลี่ยนผัน
ปฏิทินเปิดหาย รักมลายพลัน
สัมผัสเพียงความเงียบงันของวันคืน

สวัสดีปีใหม่...
อาจเป็นปีที่หัวใจแสนขมขื่น
ดื่มด่ำกับความเดียวดาย เมามายสะอื้น
เพราะชีวิตมิอาจยืนเพียงลำพัง

ท่ามกลางสายลมหนาวของความเหงา
ขอของขวัญแค่มีเราสุขสมหวัง
ให้คล้องรักครองคู่อยู่จีรัง
พบพานคนน่ารักนาชังสักครั้งเอย...


***

ปี ๒๕๕๖ ขอเป็นนกผกผิน
ท่องโบยบินเหนือฟากฟ้าอย่างผ่าเผย
ยามเหนื่อยล้าก็ร่อนลงก่อนผ่านเลย
หยุดพักชมหมอกเหมยหรือทะเล

กลัวจะเป็นนกปีกหุบลู่อยู่ในกรง
หมดไร้สิ้นพิษสงออกเริงเร่
ขังตัวเองกับวิถีที่จำเจ
รอปีกกล้า...ฟ้าร้องเห่ค่อยทะยาน

เรามาไกลกว่าอายุ - ปัจจุบัน
พอเหลียวหลังกลับหันแทบพลุ่งพล่าน
มองเห็นแต่ความหม่นหมองของวันวาน
โลกในจินตนาการอยู่ที่ใด--?

ขอเถอะ, ขอวันพรุ่งรุ่งอรุณ
พานพบแสงเรืองอุ่นสว่างไสว
ชีวิตนี้เพียงสุขบ้าง ณ ทางไกล
ประสบสิ่งแสนยิ่งใหญ่สักครั้งเอย...


.

24 ธันวาคม 2555

ฟรีแลนซ์ไม่มีโบนัส

ใกล้สิ้นปี...สำหรับพนักงานประจำผู้รับเงินเดือนนั้น
คงต่างหมายมาดปรารถนา "โบนัส" กันแน่แท้ นอกเหนือจากการปรับเงินเดือนขึ้น
ซึ่งปัจจัยเรื่องโบนัสนั้นก็อยู่ที่มาตรฐาน ผลประกอบการ หรือนโยบายของแต่ละที่
หากยิ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือขนาดกลาง เห็นทีต้องลุ้นกันแบบหายใจไม่ทั่วท้องก็ได้

ความจริงว่าจะบอกเล่าแบ่งปันเรื่อง ราคาค่าจ้างของพิสูจน์อักษร ฟรีแลนซ์
ทว่าขอพักไว้ก่อน ไหนๆ ก็จะสิ้นปีแล้ว ทั้งได้อ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่อง "โบนัส" โดยบริษัทที่ปรึกษาเฮย์กรุ๊ป
ที่เผยผลสำรวจการจ่ายโบนัสขององค์กรชั้นนำในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕
ซึ่งคาดว่าจะอยู่อยู่ในอัตราเฉลี่ย 2.8 เดือน (คิดง่ายๆ ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็สามเดือน)
โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะจ่ายโบนัสสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย
(1) กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก คาดว่าจะจ่ายโบนัส 3.75 เดือน
(2) กลุ่มสาธารณูปโภค คาดว่าจะจ่ายโบนัส 3.53 เดือน
(3) กลุ่มปิโตรเคมี คาดว่าจะจ่ายโบนัส 3.04 เดือน



เมื่อสำรวจแยกเป็นรายกลุ่มและรายบริษัทที่มีการจ่ายโบนัส ต้องนับว่า
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นที่หนึ่งของความใจป้ำใจสปอร์ต (ไม่ช๊อต)
โตโยต้า คาดว่าจะจ่าย 8.5 เดือน
มิตซูบิชิ 7 เดือน บวกเงินเพิ่ม 3 หมื่นบาท
ยามาฮ่า 5 เดือน
ฮอนด้า 6 เดือน บวกเงินเพิ่ม
นิสสัน, ฟอร์ด และมาสด้า จ่าย 4 เดือน

กลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง
ชิโนไทย จ่ายถึง 10-12 เดือน (ถือว่ามากสุด)
อิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ เฉลี่ย 1 เดือน
บริษัทพรีบิลท์ 4-6 เดือน
บริษัท ช.การช่าง 3 เดือน

กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีก
เครือสหพัฒนพิบูลจ่าย 5 เดือน
โออิชิ กรุ๊ป 2 เดือน
เซ็นทรัลพัฒนา 3.5 เดือน
ซีพีเอฟ 2 เดือน (จ่ายเท่ากันทุกปี)
บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” อยู่ที่่ 4-5 เดือน

กลุ่มอุตสาหกรรมการสื่อสารและโทรคมนาคม
พีเอสไอ โฮลดิ้ง จ่ายให้ 3-5 เดือน
เอไอเอส 4 เดือน
กสท. 4 เดือน
ดีแทค 1 เดือน
ทีโอที 1 เดือน

ลองมาดูอีกสักหนึ่งกลุ่มกัน... (เสียดายไม่มีกลุ่มพวกสำนักพิมพ์)
กลุ่มสื่อหนังสือพิมพ์
ไทยรัฐ 4 เดือน
เดลินิวส์ จ่าย 3-4 เดือน
เครือมติชน 2 เดือน
กรุงเทพธุรกิจ 1-2 เดือน
ฐานเศรษฐกิจ 1 เดือน
โพสต์ทูเดย์ 0.5 เดือน

ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้ "โบนัส" ด้วย หลังจากทำงานมาหนักและเหนื่อยทั้งปี

ขณะที่อาชีพ ฟรีแลนซ์ แอนด์ อิสระเสรี นั้น ไม่มีโบนงโบนัสอันใดทั้งสิ้น
ยิ่งฟรีแลนซ์อย่างผมด้วยแล้ว แค่มีงานป้อนเข้ามาให้ทำตลอดและได้เงินสม่ำเสมอก็ดีใจยิ่ง
จึงมิบังอาจคิดเรื่องโบนัสให้บึ้งตึงบูดบึ้งในอารมณ์ ด้วยบุญวาสนาคนเราย่อมต่างกัน
คิดแค่ว่า...จะหางานฟรีแลนซ์เพิ่มยังไง หาลูกค้าส่งงานงานประจำเช่นไร และก็ทำงานให้ดีที่สุด
กระทั่งจะหาเงินโดยสุจริตเยี่ยงไรเพื่อจะได้มีเงินส่งให้พ่อแม่บ้าง

ฉะนั้น ฟรีแลนซ์ไม่มีโบนัส ก็ย่อมเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาลสมัย
ทำงานอย่างมีความสุข สนุกกับงาน และเบิกบานกับชีวิตที่เลือกแล้วดีกว่า
ในเมื่อเราไม่ได้โกงกิน ฉ้อฉล หลอกลวง ปล้นฆ่า หรือปอกลอกเอาเงินใครฟรีๆ
เราใช้สมอง ทุ่มเทความคิด ทำงานด้วยใจ มีความรับผิดชอบ หนักเอาเบาสู้ และก็อยู่อย่างพอเพียง
เราก็จะมีพื้นที่แห่งความสุขเล็กๆ ทั้งพึงพอใจกับวิถีชีวิตที่ไม่เห่อตามกระแสบริโภคนิยม

ดังนั้น โบนัสสำหรับอาชีพฟรีแลนซ์ ของผมแล้ว...
โบนัสก็คือการไม่ต้องตื่นแต่เช้าแล้วกุลีกุจอไปตอกบัตร ไม่ต้องเบียดเสียดแออัดไปกับการเดินทาง
ไม่ต้องเสียสุขภาพจิตกับการจราจรติดขัดบนท้องถนนของกรุงเทพฯ ไม่ต้องกินข้าวเที่ยงตามเวลาพัก
ไม่ต้องเสแสร้งปั้นหน้ามายากับผู้คนมากมายในออฟฟิศ ไม่ต้องพะวงเรื่องฝนตก อากาศหนาว
ไม่ต้องเขียนใบลากิจ ลาป่วย และไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าเสื้อผ้า ค่าน้ำหอม หรือค่าเครื่องสำอางใดๆ

"เงิน" อาจเป็นคำตอบที่อำนวยความสุขสบายได้ ทำให้คนรอบข้างรู้สึกดีๆ ได้
"เงิน" อาจพาไปเที่ยวไหนต่อไหนได้ เสริมแต่งความสวยได้ ให้การศึกษาสูงๆ ได้
"เงิน" อาจทำให้มีหน้ามีตาทางสังคม บันดาลบ้านหลังงามๆ และรถคันหรูๆ ได้
"เงิน" อาจซื้อบริการทางเพศได้ เลี้ยงดูสาวๆ ได้ ซื้อวัตถุสิ่งของได้มากมายพะเรอเกวียน
"เงิน" อาจเป็นบันไดเพื่อตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้นได้ และก็ทำลายจิตวิญญาณมนุษย์ด้วยกันเองได้เช่นกัน

ที่แน่ๆ "เงิน" ซื้อไข่ไก่ ปลากระป๋อง ข้าวสาร และมาม่าได้...
ทว่า "เงิน" มิอาจยื้อหรือซื้อความแก่และความตายได้แน่ๆ (อาจประวิงเวลาได้บ้าง)
เพราะที่สุดทุกๆ คนก็มิอาจหลบเร้นหรือหนีพ้นสัจธรรมแห่งชีวิตเพื่อความเป็นอมตะได้....

โบนัสแท้ๆ สำหรับผมนั้นก็คือ...
เห็นคนไทยรักกันและสามัคคีกันมากๆ


13 ธันวาคม 2555

Proof Reader งานแห่งสมาธิ

กาลเวลาผ่านไปใกล้เจ็ดเดือนแล้วสำหรับบล็อกเล็กๆ แห่งนี้
กับบทความราวๆ ๔๐ กว่าๆ ที่พร่ำพิมพ์ไปเรื่อยเปื่อยแบบไร้รูปแบบ
โดยเขียนบทความตกเฉลี่ยเดือนละ ๖ ชิ้น ทั้งมีแนวโน้มอนาคตว่าอาจจะลดลงซะอีก

ต้นสัปดาห์นี้...มีงาน Proof Reader จากสำนักพิมพ์หนึ่งส่งมาให้รับใช้สามเล่มรวด
นับเป็นความอนุเคราะห์และไว้วางใจในความสามารถที่สุดจะกล่าวด้วยความรู้สึกใดๆ
จริงๆ หนังสือทั้งสามเล่มนี้เป็นคนไทยเขียน แล้วก็มีชื่อภาษาไทย
แต่ด้วยยังคงเป็นต้นฉบับกรุ่นๆ ผมจึงขอนำมาบอกเล่าด้วยชื่อภาคภาษาอังกฤษพลางๆ ก่อน
- Start to be Rich
- Easy Guide : Professional Outsource
- Good Stories Make Positive Mind



ผมเคยเขียนเรื่องพิสูจน์อักษรในบล็อกนี้มาแล้ว ในหัวข้อ >> Proofreader
ซึ่งก็นับเป็นงานที่ผมถนัดเช่นกัน นอกเหนือจากงาน "บรรณาธิการ" ที่รัก
ทั้งก็ยังมีงานปรู๊ฟนิยายไทยแนวโรมานซ์ประจำจากอีกที่หนึ่งอีก
บางช่วงก็อาจมีงานทั่วๆ ไปจากที่อื่นแทรกมาบ้าง ซึ่งก็พอมีรายได้ถูไถไปตามสภาพ
ทว่าก็ต้องกินอยู่อย่างพอเพียง พยายามหุงข้าวและทำกับข้าวกินเองแบบง่ายๆ
เลิกหลงใหลสิ่งฟุ้งเฟ้อ ยั่วยวนกิเลส และไม่เห่อตามสังคมวัตถุนิยมที่พัฒนาแบบบ้าคลั่ง
พวกไอโฟน ไอแพด ไอพอด ก็แค่ปล่อยวาง ด้วยไม่มีปัญญาและปัจจัยจะจับจองครอบครอง
แค่ใช้โน้ตบุ๊ครุ่นเก่าๆ ต่อเน็ตได้เพื่อทำงานก็แสนจะสุขใจนักหนาแล้ว...

Proof Reader งานแห่งสมาธิ ว่าตามจริงก็ต้องเป็นงานของผู้รักการอ่าน ชอบจับผิด ลุ่มลึก
ชอบค้นคว้าหาเรื่องที่สงสัย ต้องใจเย็น นิ่งสงบ ทั้งพร้อมเปิดใจรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ
ที่สำคัญก็คือ ต้องรับงานได้ทุกแนวทุกสไตล์ เพราะหน้าที่หลักคือการพิสูจน์อักษรเพื่อหาคำผิด
ทว่าเมื่ออ่านแล้วพบว่าเนื้อหาขัดแย้ง สรรพนามผิดเพี้ยน ความหมายไม่ใช่ หรือเห็นต่างอันใด
ก็ควรคอมเม้นต์ไว้ หรือพูดคุยปรึกษากับนักเขียน บรรณาธิการ และทีมงานเช่นกัน
ด้วยหน้าที่ของ "Proof Reader" นั้น มีศักดิ์ มีศรี มีเกียรติ มีความสำคัญยิ่ง
ทั้งยังเป็นกลไกฟันเฟืองหนึ่งที่จะช่วยทำให้หนังสือเล่มนั้นๆ เกิดความสมบูรณ์และถูกต้องมากที่สุด
"จงทำงานด้วยใจรัก สนุก และมีความสุขกับงาน" จะได้รู้สึกเอิบอาบยินดียามหนังสือออกมาเป็นเล่มบนแผง

เวลาปรู๊ฟงานนั้น สมาธิคืออาวุธในการอ่าน ต้องเข้าใจและซึมซาบไปกับเนื้อเรื่องอย่างถ่องแท้
อาชีพ "ฟรีแลนซ์" ที่รายได้ไม่แน่นอน คงไม่ใช่การเน้นปริมาณงานเพื่อหวังเงินที่มากขึ้น
หากคิดเช่นนั้นก็ย่อมทำให้คุณภาพงานลดลง ด้อยค่า หรือเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
แม้นผมจะเต็มใจรับงานปรู๊ฟมาสามเล่ม แต่ก็ต้องถามกำหนดการเสร็จงานของแต่ละเล่มด้วย
เพื่อจะได้วางแผน ประเมิน และจัดสรรเวลาทำงานได้ถูก เล่มไหนรีบ เล่มไหนไม่เร่ง
ไม่ใช่ตะบี้ตะบันรับงานมามากๆ (เอาหมด) เพื่อต้องการเงินเยอะๆ ทว่าให้เวลาทำงานไม่กี่วัน
แบบนี้จะหวังคุณภาพได้อย่างไร จะผลาญใช้สมาธิหรือสมองเยี่ยงเครื่องจักรก็คงไม่ไหวกระมัง
เราเป็นมนุษย์มิใช่หุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรม เรามีอารมณ์ ความรู้สึก แล้วก็จิตใจนี่นา...

โมงยามที่ผมไม่มีสมาธิ ไร้อารมณ์จะทำงาน สมองมึนเบลอ ก็ปลีกวิเวกหาเวลาพักผ่อนสักเล็กน้อย
อาจออกไปเดินเล่น หาหนังดู พูดคุยกับคนโน้นคนนี้ หรือพรวดมาเขียนบล็อกบ้าง
พยายามหาเวลารีแล็กซ์ ผ่อนคลาย ปลดปล่อย เพื่อสะสมตระเตรียมพลังไว้ทำงานต่อไป...

ทุกวันนี้...ผมภูมิใจและรักในอาชีพ "พิสูจน์อักษรฟรีแลนซ์" กับ "บรรณาธิการอิสระ" มากนะ
แม้นว่าที่สุดจะทำให้ชีวิตแค่พออยู่พอกินก็ตาม อาจดูไม่โก้เก๋หรือเท่ระเบิดเหมือนอาชีพอื่นๆ
อย่างน้อยๆ ก็เป็นอาชีพที่สุจริตและยังความสุขใจให้เสมอแหละ

ไว้คราวหน้า...ผมจะบอกเล่าเล็กๆ เกี่ยวกับราคาหรือค่าจ้างของอาชีพ "พิสูจน์อักษรฟรีแลนซ์"
ว่าคิดค่าตอบแทนกันยังไง? ให้เท่าไหร่? ทว่าที่สุดก็ไม่มีความแน่นอนของราคาค่าปรู๊ฟหรอกนะ
ยิ่งถ้าจะหาความมั่นคงหรือรายได้ทางอาชีพนี้แบบสม่ำเสมอและมั่นคงแล้ว
คงต้องหางานฟรีแลนซ์จากบริษัท หรือสำนักพิมพ์ หรือที่อื่นๆ ที่ป้อนงานให้ประจำและแน่นอนทุกเดือน
กระนั้น...ก็ไม่ง่ายดังฝัน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่มิอาจควบคุมได้นั่นเอง

บางเวลา...ผมยังท้อๆ และให้หวนอยากไปทำงานประจำเลย
ทว่าเมื่อเลือกทางสายนี้แล้ว ที่สุดก็ต้องเดินต่อไป...ต่อไป...และต่อไป...

8 ธันวาคม 2555

ยามว่างของคนไร้งานประจำ

ทุกคนล้วนย่อมมีเวลาว่างกันทั้งนั้น จะว่างมากหรือว่างน้อยก็ว่ากันไป
คู่รักอาจมีเวลาว่างให้กันมากมายในช่วงแรกๆ เพราะหวานชื่นและใหม่หมาด
พ่อแม่อาจไม่ค่อยมีเวลาว่างให้ลูกมากนักเพราะต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว
ขณะที่คนไร้งานอย่างผมกลับมีเวลาว่างเหลือเฟือและเอ้อระเหยไปเรื่อยเปื่อย...

เมื่อไม่มีงานฟรีแลนซ์จากใครหรือที่ใดๆ ให้รับใช้
ผมก็มักจะหาเวลาและพลิ้วอารมณ์เพื่ออัพเดทบล็อกต่างๆ หรือถ่ายรูปหนังสือลงร้าน
บางทีก็หาความรู้จิปาถะ เจอความรู้หนึ่งก่อนนำไปสู่อีกความรู้หนึ่ง
บางคราก็หาข่าวอ่านตามเว็บที่ชอบ ไม่ก็แกร่วเกร่อตามเว็บบอร์ดที่เป็นสมาชิกบ้าง
หรือปิดโน้ตบุ๊กแล้วดูหนังบ้าง ฟังเพลงบ้าง ออกไปเดินเล่นใกล้ๆ บ้าง

ทั้งๆ ที่ยามว่าง...อยากทำสวน อยากเดินทางท่องเที่ยว อยากอยู่ใกล้ชิดพ่อแม่
อยากดื่มสังสรรค์กับเพื่อน อยากนั่งเล่นในสวนสาธารณะ อยากจูงสุนัขไปเดินเล่น
อยากกางเต็นฑ์นอนดูดาว อยากกุมมือคนรักให้นานๆ และอยากอะไรต่อมิอะไรมากมาย

บางคนถามผมว่า "จะมาเขียนบล็อกทำไม เสียเวลา และไม่ได้เงิน"
นั่นสิ...ผมใช้เวลาว่างและยามว่างในทางที่ทุจริต ไร้ค่า หรือชั่วร้ายอันใดรึ
ความสุขของคนเราต่างกัน ความชอบก็ไม่เหมือนกัน ทั้งความคิดก็เห็นคนละด้านกันอีก
จริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีคนสนใจบล็อกนี้มากน้อยแค่ไหน ใครจะชอบหรือไม่ชอบ
ทว่าผมมีความสุขในการเขียนบล็อก คิดเห็นหรือรู้สึกอย่างไรก็จารบันทึกไว้บ้าง
อย่างน้อยๆ ยามแก่ชราและยังมีลมหายใจอยู่จะได้กลับมาอ่านเรื่องราวในอดีตบ้าง
ยามนั้นอาจจะได้อมยิ้ม หัวเราะ เขินอาย กระทั่งตัดพ้อเล็กๆ ว่า "เขียนเชยๆ เช่นนั้นได้ยังไงหวา"

พูดถึงเรื่อง "เงิน" ไม่ใช่ผมปฏิเสธนะ เพราะชีวิตอย่างผมนั้นก็เข้าขั้นคนจนเต็มตัว
เฮอร์เบิร์ต คาสสัน กล่าวไว้ว่า...มีวิธีได้เงินมา 3 ประการคือ
- ได้มรดก
- แต่งงานกับคนรวย
- ทำงานหามันมา
วิธีแรก เป็นอุบัติเหตุ เป็นโชค ไม่มีอะไรเกี่ยวกับทักษะหรือความสามารถ
ดังนั้น มันจึงเป็นวิธีที่ค่อนข้างไม่น่าพึงใจเสมอในการได้เงินแบบนี้
วิธีที่สอง บางทีก็เป็นโชค และบางทีก็เป็นทักษะ และบางทีก็เป็นเรื่องของความสามารถ
บางครั้งน่ายินดี บางครั้งน่าขยะแขยง
วิธีที่สาม ไม่มีวันมาจากโชค แต่เป็นทักษะ และความสามารถเสมอ
เป็นวิธีที่น่าพึงใจและก่อความนับถือตนเอง เกือบจะเป็นวิธีที่ยาก เต็มไปด้วยความลำบากเสมอ

เงินตราไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ดั่งที่สรรพสิ่งเป็นอยู่ในโลกนี้ 
เราทุกคนต้องมีเงินจำนวนหนึ่ง มิฉะนั้นก็จะอดตาย...

สำหรับผมแล้ว...ไม่เข้าข่ายหรือใกล้เคียงกับวิธีได้เงินมาทั้งสามประการเลย
แต่ก็พยายาม ทำงานหามันมา นะ พยายามดิ้นรนหางานตุหรัดตุเหร่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แม้นงานที่ผมหานั้นจะเป็น "งานฟรีแลนซ์" ก็ตามที แถมเป็นงานหนังสือที่ทุลักทุเลยิ่งยวด
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน รายได้แทบไม่พอในแต่ละเดือน ด้วยความไม่แน่นอนของปริมาณงานที่เข้ามา
ผมจึงต้องทยอยปัดฝุ่นหนังสือที่เก็บสะสมในห้องมาประกาศขายทางออนไลน์เพื่อพยุงชีวิตให้รอด
โดยไม่รู้ว่า...เมื่อไหร่ชีวิตจะลงตัว มีงานเข้ามาสม่ำเสมอ และจะทนอดอยากยากไร้ไปอีกนานแค่ไหน

ฉะนั้น ยามว่างของคนไร้งานประจำ เช่นผมนั้นจึงต้องเรียนรู้และเสาะหาช่องทางอื่นๆ ในการหาเงิน
ผมประจบสอพลอใครไม่เป็น ผมไม่มีเส้นสายใหญ่โต ทั้งผมก็พยายามหล่อเลี้ยงเพื่อความฝันเล็กๆ ของตัวเอง
ยามว่างๆ ผมจึงศึกษาเรื่องการทำเว็บ / การทำ SEO / การสร้างโอกาสเพื่อมีรายได้เสริม
พร้อมๆ กับการเขียนบล็อกบ่นและเล่าไปเรื่อยเปื่อยบ้าง

เจตนาหลักๆ ผมยังปรารถนางาน บรรณาธิการและพิสูจน์อักษร ฟรีแลนซ์ เช่นเดิม
ดังนั้น ยามว่างๆ ผมจึงได้ลองทำคลิปชิ้นนี้ขึ้น แล้วอัพโหลดขึ้น YouTube ซะเลย
ซึ่งเป็นความรู้เล็กๆ แสนสุขใจน้อยๆ ในวันคืนที่ไม่มีงานฟรีแลนซ์ให้ทำ...



กว่า ๑๕ ปี เบื้องหลังคนทำหนังสือ
สุดท้ายคือผู้วิเวกปัจเจกฝัน
ทั้งหัวเราะและร้องไห้ในคืนวัน
ชีวิตยังหมายฝ่าฟัน...ฝันต่อไป


4 ธันวาคม 2555

รู้ทั้งรู้ว่าทางนี้ที่เลือกนั้น...

อีกไม่ช้า...ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ก็จะผ่านไป ขณะที่อายุก็มากขึ้นอีกปี
แก่ชราไปตามลำพังอีกรอบ รอยตีนกามาเยือนยังนะ ผมหงอกกี่เส้นแล้วนี่
ที่สำคัญ...เงินในบัญชีนี่สิมีแต่ลดลงๆ กระทั่งไม่มีจะกดจะถอนล่ะ
ได้แต่วาดหวังว่าปีหน้าชะตาชีวิตคงโคจรสู่วิถีที่ดีๆ และง่ายงามบ้าง
ได้แต่ใฝ่ฝันว่าเดือนต่อไปและต่อไป จะมีงานฟรีแลนซ์เพิ่มขึ้น มีคนใจดีให้งานมาทำมากขึ้น

บางครา ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเลือกทางเดินชีวิตถูกไหม
เพราะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็เลือกเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงมาตลอด
ทำงานด้วยความรัก ด้วยอุดมคติ ด้วยอัตตา และด้วยความซื่อสัตย์
ที่สุดก็ย่ำต๊อก เงินเดือนน้อย โดนเอาเปรียบ แล้วก็ไร้ความก้าวหน้าในอาชีพ
สงสัยผมคงมีบาปและมีกรรมกระมัง เลยต้องชดใช้และชาชินกับความจน

หรืออาจเพราะผมไร้ความทะเยอทะยาน คิดเล็กไม่คิดใหญ่ ไม่มีใครสอนให้รวย
ทั้งไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบและประหยัดมัธยัสถ์ บางอารมณ์ก็ฟุ้งเฟ้อหลงใหลไปกับวัตถุนิยม
สุรุ่ยสุร่ายในสิ่งไม่จำเป็น ขณะกระเหม็ดกระแหม่ในสิ่งที่จำเป็น หรือสมควรต้องใช้สอย
ด้วยสถานภาพโสดสนิทจึงใช้ชีวิตแบบไม่คำนึงถึงอนาคตเท่าไหร่นัก ตะบี้ตะบันใช้ชีวิต
สมัยทำงานประจำยามที่เงินเดือนออกทีก็สรวลเสเฮฮาและตะลอนเที่ยวดื่มกินวายวุ่น
ซึ่งทำให้บ่อยครั้งเสียการเสียงาน ตื่นไม่ไหว สำออยป่วยแล้วต้องลางานเป็นว่าเล่น

ณ ปัจจุบันนี้...สังขารโรยรา อายุมากขึ้น ความหนุ่มถดถอย และหัวใจร่วงร้าง
ผมเบื่อหน่ายกับรมณียสถานและสถานที่อโคจรซึ่งเกลื่อนเมือง
ผมกลายเป็นคนติดห้อง และอยากมีผืนดินไว้ทำแปลงสวนครัว ปลูกผักโน่นนี่
ผมเสียดายเวลาที่ผ่านไปในอดีตที่ทำตัวเหลวแหลก ทว่าไม่อยากนึกเสียใจในสิ่งที่ผ่านมา

รู้ทั้งรู้ว่าทางนี้ที่เลือกนั้น...มันขรุขระ กันดาร หฤโหด และอาจไร้ซึ่งความเห็นใจใดๆ
ผมไม่มีเส้นสาย เลียประจบใครไม่เป็น ไม่ชอบทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก
ผมก็ดุ่มๆ ดื้อๆ หางาน "ฟรีแลนซ์" แบบทื่อๆ บื้อๆ ไปแบบนี้แหละ
ผมทำงานหนังสือด้วยใจและความรับผิดชอบ แม้นว่าจะไม่มีคนเห็นค่าก็ตาม

เมื่อเลือกเดินสู่วิถีแห่งฟรีแลนซ์     
แม้นจะจนเหลือแสนก็มิหวั่น
เพราะหัวใจรักงานเขียน เพียรยืนยัน     

ตัวหนังสือคือความฝันอันพริ้มเพรา
รับจ้าง "พิสูจน์อักษร" ตะลอนทั่ว     

คิดราคาค่าตัวตามแต่จะเหมา
หรือจะคิดเป็นยกแบบย่อมเยา     

เชิญส่งเมลมาถามเราได้ทุกครา
"บรรณาธิการอิสระ" ก็ถนัดนัก    

เป็นงานที่แสนรัก ปรารถนา
ได้ขัดเกลา ได้นิ่งอ่านผ่านสายตา     

ได้ซึมซับหยั่งเนื้อหาก่อนใครหลายคน
รู้ทั้งรู้ว่าทางนี้ที่เลือกนั้น...     

เหมือนความฝันแสนลำเค็ญมิเห็นหน
ก็แค่ผู้อยู่เบื้องหลังดั่งต้องมนตร์     

ชีวิตจริงยังขัดสนร้างไร้เงิน
เมื่อก้าวสู่ถนนสายงานพาร์ทไทม์     

อาจมองเป็นงานง่ายงามแค่ผิวเผิน
แต่กว่าจะมีคนจ้างช่างยากเหลือเกิน    

ต้องเจียมอยู่เพื่อเผชิญความไม่แน่นอน...


chatcha26@hotmail.com
Tel. 08-4211-0526
.

28 พฤศจิกายน 2555

ลอยกระทงปีนี้แสนเหงา

วันลอยกระทง ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ซึ่งประเพณีลอยกระทงนั้น ตามตำนานการลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
โดยวันลอยกระทงจะจัดขึ้นในทุกวันเพ็ญเดือนสิบสองของปี เป็นวันที่น้ำเต็มตลิ่ง และเป็นวันสว่าง


การลอยกระทงมีวัตถุประสงค์ด้วยกัน ๒ ประการ คือ
เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท้องที่ถือว่าลอยกระทง
เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เนื่องในโอกาสที่พระพุทธองค์ได้ไปแสดงธรรมในนาคภิภพ
และทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที
เพื่อบูชาพระแม่คงคา เป็นการแสดงการขอบคุณน้ำ
เพราะมนุษย์เราอยู่ได้เพราะน้ำ ตั้งแต่โบราณกาลมา
ชุมชนทั้งหลายเวลาสร้างบ้านสร้างเมือง ต่างก็เลือกที่ติดแม่น้ำ
ดังนั้นถึงเวลาในรอบหนึ่งปี ก็เลือกเอาวันเพ็ญเดือนสิบสอง
เพื่อระลึกว่าตลอดปีที่ผ่านมา เราได้อาศัยน้ำในการดำรงชีวิต

ในสมัยเด็กๆ ยามอยู่ต่างจังหวัดนั้น...บ้านผมอยู่ในโรงงานน้ำตาล
ผมจำได้ว่าพ่อจะไปหาตัดต้นกล้วยพร้อมใบตองเพื่อนำมาให้แม่ทำกระทงแบบง่ายๆ
พอหัวค่ำก็ยกโขยงไปที่คลองเพื่อลอยกระทง จุดธูปจุดเทียนแล้วตั้งจิตอธิษฐานก่อนปล่อยกระทงลอย
ตอนนั้นอาจมีการตัดเล็บตัดผม หรือใส่เหรียญสลึง เหรียญบาท เหรียญห้าลงในกระทงด้วย
และก็จะมีเด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผม หรืออายุน้อยกว่า 
เด็กเหล่านี้จะไปลงน้ำดักรอเพื่อเอาเหรียญต่างๆ ทั้งช่วยพากระทงไปส่งกลางลำคลอง

เมื่อพ่อแม่ย้ายบ้านมาอยู่ใกล้วัด...ด้วยโรงงานขอบ้านและที่คืน
พ่อก็ยังไปหาตัดต้นกล้วยพร้อมใบตองเพื่อนำมาให้แม่ทำกระทงเช่นเดิม
เพียงแต่ไม่ได้ทำเพื่อให้คนในครอบครัวเอากระทงไปลอย ทว่าทำกระทงเพื่อถวายวัด
ด้วยทุกๆ ปีนั้น วัดที่อยู่ใกล้บ้านจะมีงานลอยกระทง เพื่อจัดงานหาเงินเข้าวัด
พ่อกับแม่ก็ตามประสาคนแก่ รักที่จะนั่งหลังขดหลังแข็งช่วยกันทำกระทงเพื่อเป็นบุญกุศล
ซึ่งทางวัดจะจัดงาน มีหนังกลางแปลงมาฉาย โดยมีพ่อของผมเป็นโฆษกในงาน
กระทงที่ทำถวายวัดก็ไว้ให้ผู้คนในชุมชนมาซื้อตามกำลังทรัพย์และศรัทธา เพื่อนำไปลอยในแม่น้ำแม่กลอง

หลายสิบปีที่ผ่านมา...ผมได้เข้าอยู่อาศัยและทำงานในเมืองหลวง
บางปีอาจได้กลับบ้านไปลอยกระทง ได้ช่วยพ่อแม่ทำกระทงถวายให้ทางวัดบ้าง 
ขณะที่อีกหลายปีแทบไม่ได้กลับไปเยือนและไปร่วมลอยกระทงกับที่บ้านเลย
เฉกเช่นปีนี้...ที่ผมจ่อมจมอยู่ในกรุงเทพฯ นั่งทำงานอยู่ในห้องอย่างเดียวดายและเงียบเหงา
ฟังเสียงพลุดังเป็นระยะๆ แว่วเสียงคนข้างห้องชักชวนกันไปลอยกระทงอึงมี่...

หลายคนอาจเลือกลอยกระทงออนไลน์ก็ได้ แต่ผมไม่รู้สึกอิ่มใจและสนุกชื่นเท่าได้ลอยกระทงในน้ำจริงๆ
ความรู้สึกยามมือได้สัมผัสน้ำในแม่น้ำนั้นช่างยากจะบอกกล่าว มันเป็นอารมณ์ที่โหยหาอะไรบางอย่าง
เสมือนชีวิตนั้นขาดหายจากวันวัยเก่าๆ ห่างไกลจากบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ

วันลอยกระทงปีนี้...นับเป็นอีกปีที่เหงาบาดใจ เหงาเหลือแสน และเหงากว่าทุกปี
นั่งทำงานไปก็ฟังเสียงพลุไป แล้วก็ล็อกอินเข้ามาเขียนบันทึกในบล็อกนี้
เล่าไปเรื่อยเปื่อยอย่างเหงาๆ ตามประสาคนไร้คู่ ไร้หญิงสาวเคียงใจ
พร้อมกับวาดหวังและนึกฝันว่า...วันลอยกระทงปีหน้าคงไม่เหมือนเช่นดังปีนี้อีกนะ

ลอยกระทงปีนี้...
เป็นอีกปีที่ใจฉันนั้นเหงาหนัก
ข้างกายแสนหนาวหม่นไร้คนรัก
ฉันเหมือนอยู่ในอาณาจักรที่ไม่รู้
คิดถึงวัยวันครั้นเก่าก่อน
จึงจดใจจารบทกลอนแสนหดหู่
ภายในห้องมืดมิด ปิดประตู
นอนคร่ำครวญคุดคู้อยู่เดียวดาย...


17 พฤศจิกายน 2555

ความรักโบยบินไปไหนแล้ว

นึกๆ แปลกใจตัวเองอยู่คร้ามครันว่า...
ไฉนไม่คิดจะเขียนจารเรื่องความรักทำนองหนุ่มสาวสักหน่อยหรือไร
ลึกๆ ก็เคยตั้งเจตจำนงอยากจะพรั่งพรูระบายป้ายแต้มเรื่องความรักออกมาบ้าง
เพียงแต่บางทีมันก็มึนๆ อึนๆ ตื้อๆ และไม่รู้จะเริ่มต้นเช่นไร หรือเกริ่นนำยังไง
หรือว่าหัวใจเราด้านชา และชีวิตก็หยาบกร้านเกินจะเอื้อนเอ่ยถึง "ความรัก"

รักครั้งแรกก่อเกิดเมื่ออายุเท่าไหร่นะ...แล้วรักครั้งสุดท้ายจบสิ้นลงเมื่อใด...

หรือว่า "ความรัก" ไม่มีวันเรียนรู้จบสิ้น ยิ่งเรียนยิ่งรู้ หรือยิ่งค้นหายิ่งห่างหายหว่า
ว่ากันว่าคนมีความรักมักมองโลกสวยสดใส เป็นสีชมพู และทำให้ยิ้มบ่อย
เสมือนมีสวนดอกไม้บานสะพรั่งในหัวใจมิปาน ทำให้ชีวิตมีชีวาและร่าเริงระริกระรี่
บ้างก็ว่าความรักทำให้ตาบอด หัวใจเผลอไผลไหววูบ ล่องลอยแล้วก็เคลิบเคลิ้มลืมตัว
ทว่ามีใครจะปฏิเสธและหันหลังให้ความรักได้บ้าง โดยเฉพาะความรักในเพศตรงข้าม...


"ความรัก" ในวัยและวันของชีวิตคนคนหนึ่งคงไม่เหมือนกัน ไม่มีทฤษฎีสำเร็จรูปตายตัว
อีกทั้งนิยามความรักของแต่ละคนก็คงคิดเห็นไม่เหมือนกัน ด้วยไม่ใช่สูตรทางคณิตศาสตร์

"ความรัก" นั้นเป็นสิ่งที่ดี งดงาม อ่อนหวาน ทั้งเกินกว่าจะตีความและตีค่าได้
ในขณะเดียวกัน ความรักก็อาจสร้างสรรค์และทำร้ายใครบางคนได้เช่นกัน
ทว่ามนุษย์ไม่เคยหยุดที่จะรัก มอบความรัก ให้ความรัก และเสาะแสวงหาความรักอยู่ร่ำไป...

"ความรัก" อาจมิทำให้อิ่มท้อง ทว่าก็ทำให้อิ่มใจนัก
บางคนอกหัก พ่ายรัก ก็ถึงขนาดกินข้าวปลาไม่ลง โลกเป็นสีเศร้าเกินกว่าลิ้นจะรับรสความอร่อยได้
ในขณะที่คนสมหวังในรัก แฮปปี้ในชีวิตคู่ เสพสมกามารมณ์ถึงจุดสุดยอด ก็ลิงโลดหรรษาอิ่มสุข
กระนั้น...คนส่วนมากก็พร้อมใจยินยอมที่จะกระโจนเข้าสู่ความรัก ปรารถนามีใครสักคนข้างกายเสมอ

ณ ตอนนี้ ผมมิอาจอหังการ์เพื่อนิยามหรือกล่าวถึง "ความรัก" แต่อย่างใด
เพราะผมก็ล้มเหลว ผิดพลาด และหัวใจพรุนผุกระทั่งหยาบกระด้างโดยไม่รู้ตัว
ความรักโบยบินไปไหนแล้ว... นั่นสิ หากว่ายังโบยบินเหินพลิ้วก็ยังพออุ่นใจได้บ้าง
กลัวแต่ว่าความรักจะโดนเด็ดปีกแล้วแดดิ้นกระเด่าๆ แทบวายชีวานี่แหละ

กระนั้น ผมก็เห็นดีเห็นงามถ้าจะรู้สึก "รัก" ใครสักคน
อย่างน้อยๆ การมีความรักให้กันนั้น ที่สุดก็ย่อมดีกว่ามีความเกลียดชังใส่กันและกัน

คิดถึงหญิงสาวคนหนึ่ง...
อยากบอกว่า "คิดถึง" เสมอ
ไม่รู้เพราะอะไรใจคิดถึงเพียงเธอ
อยากเจอะเจอเธออีกครั้ง...เฝ้าแต่คอย

ยามเธอไกลห่าง ฉันก็อ้างว้างเหว่ว้า
ลึกๆ แสนห่วงหา ชีวาเศร้าสร้อย
หัวใจฉันหม่นหมองและล่องลอย
อยากโอบเธอในอ้อมกอดน้อยๆ ให้นานๆ

ไม่รู้ว่าทำไม...ฉันไม่รู้
รู้แต่ตอนนี้ใจฉันหดหู่แทบฟุ้งซ่าน
เธออยู่ไหนกันหนอ ใจฉันทรมาน
อยากพบพานเธออีกครา...คนน่ารัก

หากเธอได้มาอ่านกระทู้นี้...
ฉันยังคอยอยู่ที่ที่เธอก็รู้จัก
วันใดเธอเหนื่อยล้าก็มาผ่อนพัก
คืนใดเธอเหน็บหนาวนักก็มานะ...


นับจากวันนั้นจวบวันนี้...
เข็มนาทีชีวิตฉันเหลือสั้นล่ะ
ค่อยๆ หมุนไปอย่างช้าๆ ใกล้วาระ
เหมือนนาฬิกาหมดพันธะโดนโละทิ้ง

หากว่าเธอได้มาอ่านที่ฉันเขียน
โปรดรู้ว่าใจฉันไม่เคยเปลี่ยนเลยสักสิ่ง
คิดถึงเธอมากเพียงไรล้วนใช่ความจริง
ยื่นมือมาสิ, ฉันจะกุมนิ่งๆ ด้วยหัวใจ

หากฉันทำพลาดผิด คิดมิร้ายกับเธอ
ฉันก็ขอโทษนะเออ...เธออย่าร้องไห้
เช็ดน้ำตาแล้วยิ้มซะบ้าง ช่างโลกมันปะไร
ปล่อยให้โลกหมุนไปตามที่ควรเป็น

ฉันแอบคิดถึงเธอในความฝัน
ขณะที่ในบางวันก็ฝันเห็น
เธอควงคู่ไปกับชายอื่น - ฉันสะอื้นน้ำตากระเซ็น
กระทั่งมิอาจซ่อนเร้นความอ่อนแอ

ช่างเถอะ...ถ้าเธอมีความสุขกับเขา
คำว่า "เรา" ก็ถึงคราวจบร้าวแน่
ขอให้เธอเจอคนที่ดีจริงแท้
คนที่พร้อมจะดูแลเทคแคร์เธอ

ฉันลาก่อนนะ...หญิงสาว
หากวันหน้า, เธอเหน็บหนาวหรือหมองเหม่อ
ก็ยังมีฉันอยู่ตรงนี้ ที่ที่เราเคยเจอ
เพราะมิตรภาพมีให้เสมอ...มิเปลี่ยนแปลง--


><

14 พฤศจิกายน 2555

ชีวิตที่ไม่ได้กินเงินเดือน

หลังๆ มานี้ ผมชักไม่ค่อยมีเวลา (อารมณ์) ได้เข้ามาอัพเดทบล็อกสักเท่าไหร่
ด้วยช่วงนี้มีงานฟรีแลนซ์เข้ามาติดๆ จึงต้องทุ่มเทสรรพกำลังและมันสมองเพื่อทำงานให้เต็มที่
อย่างว่าน่ะ...ชีวิตที่ไม่ได้กินเงินเดือน ไม่ได้ตอกบัตร และไม่ได้เข้าออฟฟิศนั้น
แม้นจะอิสระเรื่องเวลาและไม่ต้องเดินทาง ทว่าเรื่องรายได้ก็ไม่แน่นอน
บางช่วงงานฟรีแลนซ์ก็ไม่มีเข้ามา ไม่มีใครว่าจ้าง ก็ต้องกระเหม็ดกระแหม่เพื่อให้อยู่รอดถึงสิ้นเดือน


ขณะที่บางช่วงงานฟรีแลนซ์อาจพาเหรดเข้ามาพร้อมกัน 
แต่จะให้รับงานทั้งหมดก็ไม่ไหว...บางงานก็เร่งซะเหลือเกิน
แม้นรู้ทั้งรู้ว่างานมากย่อมหมายถึงเงินที่จะได้มากขึ้นไปด้วย 
ทว่าครั้นจะโลภมากตกปากรับงานยามที่มาพร้อมกันนั้น
ก็ต้องขบคิด ประเมิน และไตร่ตรองว่าจะรับทำดีหรือไม่เช่นกัน--


เหตุผลที่ไม่อยากรับทำงานฟรีแลนซ์ ไม่ว่าจะ บรรณาธิการอิสระ หรือ พิสูจน์อักษร พร้อมๆ กัน
ด้วยเกรงว่าจะทำไม่ได้ดี ไม่มีคุณภาพ ทั้งเกิดความผิดพลาดเสียหายต่อผู้ว่าจ้างและผู้เสพอ่าน
เงินน่ะ...อยากได้ ทว่าการทำงานเกี่ยวกับหนังสือนั้น บางทีปัจจัยเรื่องเงินก็หาใช่คำตอบแห่งความสุขใจไม่
ความสุขและความพอใจสำหรับผมนั้น คือการได้อ่านงานเขียนของบางคน ได้จับผิดตัวอักษร
ได้จินตนาการไปกับเนื้อหา ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์หนังสือสักเล่ม...

มันไม่ใช่อุดมการณ์อะไรเลย แต่นั่นคือความสุขและความสงบนิ่งทางจิตใจมากกว่า
การทำงานหนังสือถ้าเอาเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นตัวตั้งมากเกินไป
หรืออยากได้งานฟรีแลนซ์มากๆ เพื่อจำนวนเงินที่จะมากขึ้นๆ โดยเน้นปริมาณเข้าว่า
แล้วคุณภาพหนังสือเล่มนั้นๆ จะสมบูรณ์แบบหรือไม่ และจะมีคุณค่ากับผู้อ่านเพียงไร
ผมเชื่อว่าการทำงานใดๆ ก็แล้วแต่ต้องก่อเกิดจากความรัก ความสนุก หรือความอิ่มเอิบใจ
ยิ่งงานเกี่ยวกับหนังสือ เมื่อผลิตเป็นรูปเล่มออกไปแล้ววางจำหน่ายบนแผงหนังสือ
หรือแจกจ่าย หรือมีใครได้จับต้องซื้ออ่าน แล้วกล่าวขวัญ ชื่นชม และรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
ผมว่า...มันเป็นอะไรที่ทั้งสำนักพิมพ์ นักเขียน หรือแม้กระทั่งผู้อยู่เบื้องหลังหนังสือเล่มนั้นๆ ทุกคน
น่าจะรู้สึกยินดีปรีดา แย้มยิ้ม มีกำลังใจ และที่สุดก็คือความสุขใจที่ยากประเมินค่าได้...

กระนั้น "ชีวิตที่ไม่ได้กินเงินเดือน" ชีวิตนี้ก็ยังต้องดิ้นรนและอดทนต่อไป...
มาตรแม้นว่าแต่ละเดือนจะชักหน้าไม่ถึงหลัง บางเดือนแทบไม่พอใช้จ่าย
บางเดือนต้องยอมรับสภาพ ในขณะที่บางเดือนหมิ่นเหม่แทบจะไม่มีเงินซื้อข้าวกินก็ตาม
หลายๆ ครั้ง ผมมักตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า..."เรากำลังคิดและทำอะไรอยู่?"
"เราเลือกทางเดินแบบนี้ทำไม?" หรือ "เมื่อไหร่จะมีใครเห็นสิ่งที่เราทำบ้าง?"
ซึ่งผมก็ไม่ได้หวังหาคำตอบแต่อย่างใด...เพราะได้ตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตแบบนี้ไปแล้วนั่นเอง

ในค่ำคืนที่หลายๆ คนหลับใหลฝันหวาน ก็ย่อมมีใครบางคนยังนั่งทำงานคร่ำเคร่งอยู่
ในเช้าตรู่ที่หลากชีวิตต้องตื่นเพื่อเร่งรีบไปทำงาน ก็อาจมีบางชีวิตนอนอุตุอยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย

แน่แท้ว่า...หนึ่งชีวิตที่เลือกทำงานอิสระและนอนไม่เป็นเวล่ำเวลานั้น ย่อมมี "ผม" อยู่ด้วย...

.

6 พฤศจิกายน 2555

ความตายที่มืดอธนการ

ปิดไฟ กราบหมอน สวดมนต์ แล้วเอนกายลงนอนในความมืดมิด
ตาหลับ ทว่าสมองพลันครุ่นคิดปัญหาสารพัน ก่อนจะนิทราสนิทและฝันหม่นหมอง
ตีสี่...สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย หายใจไม่ค่อยออก ขวัญล่องลอย แสบคอ กระหายน้ำ
เปิดไฟ น้ำตาไหลอาบแก้ม นั่งกอดเข่าเหม่อมองแสงจันทร์ใกล้ลาลับอย่างเศร้าสร้อย...
โลกยามราตรีเงียบเชียบ อากาศเย็นยะเยียบ จู่ๆ ก็คิดถึงแม่ขึ้นมาจับจิต อารมณ์หดหู่เกาะกุมใจลึก
เอื้อมมือไปคว้ามีดปอกผลไม้ขึ้นมาส่องดูท่ามกลางแสงจันทร์นวลตา ปากขมุบขมิบภาษาไม่คุ้นยิน
เห็นภาพรางๆ ดูประหนึ่งธารสีแดงไหลนองพื้นห้อง ลมหายใจเริ่มติดขัด สรรพสิ่งรอบตัวคล้ายหยุดนิ่ง
ความตายมันมีรสชาติเช่นไรนะ ทุรนทุรายและทรมานหรือไม่---

โลกภายนอกค่อยๆ เงียบเสียง ความมืดมิดโรยคลุมปิดเปลือกตา
สมองเริ่มพร่าเบลอ บอดใบ้ ฉับพลันทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว
เลือดค่อยๆ หยดรินจากมือขณะแสงแรกอรุโณทัยสาดเข้าในห้อง
แว่วเสียงนกขับขานมาแต่ไกล...จากที่ไกลโพ้น...

ไกลสุดจินตนาการ แล้วเสียงก็ค่อยๆ เงียบลง เงียบลง

***

"ฉันอยู่ที่ไหนนี่" ผมคลานไปรอบๆ อย่างสะเปะสะปะ พื้นใต้ตัวเหนอะแหนะและชื้นแฉะ
มองไปทางไหนล้วนมืดมิด มืดดั่งโลกของคนตาบอด โลกที่ไร้สักเสี้ยวแสงสว่าง
กลิ่นเหม็นอับลอยอบอวลชวนผะอืดผะอม อยากสำรอกอาเจียน
"ที่นี่ที่ไหน" ผมพึมพำขณะลุกขึ้นอย่างยากลำบาก หายใจหอบ รู้สึกเหนื่อยหน่วงอย่างบอกไม่ถูก
ยินแต่เสียงหวีดหวิวบางเบา แข้งขาอ่อนระทวยหมดแรงจะก้าวเดิน
บรรยากาศวังเวงราวกับสุสานในหนังสยองขวัญยามดึก ขาดแต่เสียงหมาหอน
ผมตัวเปลือยเปล่าล่อนจ้อน ไร้เสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย ทั้งมองไม่เห็นอะไรเลย
มันมืดทะมึนไปหมด มืดสนิทไปทุกหนแห่ง
นี่มันนรกขุมไหนกัน--

วู่.......วิ่ว........
ผมเดินกอดอกตัวงอไปอย่างช้าๆ เลื่อนลอย และไร้จุดหมาย
มือกวาดไปข้างหน้าเรื่อยๆ พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดรอบกาย
อากาศเริ่มหนาวยะเยือก ถ้าได้สูบบุหรี่สักตัวคงจะดี ปากสั่นทันใด รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง
ฉับพลันเหมือนมีอะไรเคลื่อนวูบอยู่ใกล้ๆ ทว่ามองไม่เห็น ได้ยินคล้ายเสียงลมล้อผ่านเล่น
"มีใครอยู่บ้าง" ผมเอ่ยเสียงแผ่ว ด้วยแสบคอบรรลัย กลิ่นเหม็นสาบเริ่มตลบหืนมากขึ้นๆ
"มีใครอยู่มั้ย" ผมถามอีกรอบ ชักหงุดหงิดและอยากตะโกนยิ่งนัก แต่จู่ๆ เสียงก็กลืนหายลงลำคอ

ฮือ...ฮือๆ.....
ผมนอนแผ่หลากับโคลนชื้นเหนอะ หมดอาลัยตายอยาก น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
ทำไมมันมืดเช่นนี้ ไม่มีแสงดาววาววับสักดวง ไม่มีแสงจันทร์สาดทอส่องนวลเลย
หรือว่าผมตายแล้ว นอนตายอยู่ในห้องอย่างเดียวดาย จากนั้นความตายก็สาปส่งผมมาที่นี่...
"ที่นี่ที่ไหน" ผมพึมพำเบาๆ แล้วหลับตาลง...





30 ตุลาคม 2555

บรรณาธิการอิสระ งานในฝัน

และแล้วปลายเดือนตุลาฯ ก็ใกล้ลาลับ 
เฉกชีวิตที่ตกอับใกล้ดับหาย
ลมหายใจที่เหลืออยู่...สู้แค่ตาย
เผื่อสุดท้ายพบความฝัน วันของเรา

Open Life in Bangkok ขณะรอสายลมหนาวมาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ...
พอๆ กับที่รองานฟรีแลนซ์จากที่ต่างๆ อย่างกระวนกระวาย ร้อนรุ่ม และพยายามทำใจให้สงบ
ถ้าได้ตามอ่านบล็อกนี้ก็จะทราบว่า...ผมขมีขมันและกระหายอยากทำงานอิสระยิ่งอื่นใด
ในบางโพสต์ก็รวบรวมความกล้าเขียนเมลไปขอสมัครงานฟรีแลนซ์แบบดื้อๆ
แม้นจะมีการตอบกลับมาบ้าง ก็แค่ตอบตามมารยาท หรือบางที่ก็เรียกไปคุย ทว่าก็แค่คุย
แต่ส่วนใหญ่สำนักพิมพ์ต่างๆ จะไม่ตอบรับ เงียบ คงเพราะไม่สนใจ หรือไม่อยากจ้างฟรีแลนซ์

กระนั้น ผมยังเชื่อมั่นว่าต้องมีบางสำนักพิมพ์สิที่เห็นความสามารถและศักยภาพของเรา
ขอเพียงท่านให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเอง พิจารณาที่ความแน่วแน่และประสบการณ์ที่ผมมี
ผมอาจขายฝัน ขายความสามารถ ขายความรักในการทำหนังสือ แต่อย่ามาดูถูกผม หรือตีตราผม
ขอนำย้อนกลับไปอ่าน Freelance เปลวเทียนกลางพายุ โพสต์ก่อนหน้าสักเล็กน้อย...

ราวต้นเดือนตุลาคม...
หลังจากที่ผมไปกรอกใบสมัครและร่วมทำแบบทดสอบกับคนอื่นอีกสิบกว่าคน
ที่สุดเมื่อ วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ก็มีเมลแจ้งมา ดังนี้...
(ที่ผมลงรูปเพื่อยืนยันความจริง แต่ก็ลบข้อมูลบางอย่างบ้างนะครับ เพื่อความส่วนตัว)

ขอบพระคุณทางสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ที่ให้โอกาส
ผมเปิดเมลนี้อ่านด้วยความดีใจล้นพ้น เพราะไม่ได้อาศัยเส้นสายอันใด
ผมภูมิใจยิ่งที่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองฝ่าฟันเพื่อหางานที่อยากทำ
ทั้งทางสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ก็พิจารณาคนที่ผลการทดสอบอย่างเป็นธรรม

แต่ผมหาได้หยุดเพียงเท่านี้ อาชีพ Freelance นั้นไม่ใช่อาชีพที่จะมีรายได้แน่นอนเหมือนงานประจำ
ทั้งเมื่อทำงานเสร็จ แต่ละที่ก็มีนโยบายการจ่ายเงินแตกต่างกัน อาจไม่มีกำหนดวันเป๊ะๆ
ผมก็ยังมุ่งมั่นหางาน พิสูจน์อักษร ฟรีแลนซ์ กับ บรรณาธิการอิสระ ต่อไป Go...
ค้นหางานในเน็ตไปเรื่อยๆ ด้วยความหวัง พร้อมกับอัพเดทบล็อกและลงขายหนังสือมือสอง

***

และแล้ว วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ผมก็ได้พบเว็บสมัครงานหนึ่งเข้า...
บรรณาธิการอิสระลั้นลา (Part time)  **ปัจจุบันปิดรับสมัครแล้ว**

เชื่อไหมว่า...ผมอ่านเพียงคร่าวๆ หัวใจก็เต้นระรัวดังกลองรบ ตื่นเต้นและยิ้มแก้มปริ
- ตำแหน่งนี้ เป็น Part time ไม่ประจำ รับงานไปทำที่บ้าน ลั้นลา ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ไม่ต้องตอกบัตร
- เป็นคนที่ทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ ที่เป้าหมายสูงสุดคือทำให้ต้นฉบับของนักเขียนดูดีมากขึ้น เจ๋งมากขึ้น


โอ้! นี่แหละ...งานในฝัน อาชีพที่เฝ้าหามานาน
ผมอ่าน "คุณสมบัติผู้สมัคร" ทันใด เพื่อประเมินตนเองในเบื้องต้น
1. ใครก็ได้ จบสาขาอะไร เราไม่สนใจ ขอปริญญาตรีขึ้นไป
2. ชอบหนังสือและมีจิตใจอยากให้คนอื่นเติบโตทางปัญญา
3. ใช้ภาษาไทยได้ดีคนหนึ่ง
4. มีประสบการณ์เป็นบรรณาธิการมาแล้วก็ดี แต่เบื่อเซ็ง อยากหางานใหม่ๆ ทำ ก็ขอเชิญมาร่วมงานได้
5. ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์ก็ไม่เป็นไร แต่จงแน่ใจว่าตัวเองมีแววเก่ง มีของจริงๆ ก่อนคลิกสมัครมา
6. เป็นคนที่รู้จุดแข็งของตนเอง มีตัวตนน้อย ควรคิดว่าตัวเองโง่อยู่เสมอ และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
7. ใช้ word คล่อง ถ้าไม่คล่องให้ไปเรียนเพิ่มก่อนสมัคร
8. ถ้าคุณสมบัติครบหรือเกือบครบตามข้างบนนี้ก็ร่อนใบสมัครมาได้ทันที รีบๆ นะก่อนเต็ม
แต่ถ้าไม่มีคุณสมบัติตามข้างบนเลย รบกวนอย่าส่งมาให้เสียเวลานะจ้ะ

หมายเหตุ : รับสมัครถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2555 นี้เท่านั้น

ผมส่งใบสมัครทางเมลในวันนั้นทันที...จะชักช้าอยู่ไย นี่อาชีพในฝันเชียวนะ
รุ่งขึ้น...มีแมสเสจแจ้งมาทางมือถือ และเมล์ตอบกลับมา หัวข้อ
"ทดสอบงาน ตำแหน่ง บรรณาธิการอิสระลั้นลา‏" เนื้อหาดังนี้
จากไฟล์ที่แนบมาพร้อมอีเมล์นี้ นำไปลองสวมบทบาทเป็นบรรณาธิการเล่มดู
ขอให้จัดมาเต็มๆ แสดงแววออกมาให้เต็มที่ เมื่อทำเสร็จแล้ว กรุณาส่งกลับไปที่........@gmail.com
พร้อมบอกชื่อนามสกุล+เบอร์โทร+email ตอนแนบไฟล์มาให้ด้วย


ด้วยพลังไฟแห่งความฝัน ความหวัง และใจรักงานหนังสือ
ผมใช้เวลาสองวันหนึ่งคืนโดยประมาณในการทำทดสอบงานชิ้นนี้
ทำไปด้วยความสุขใจอย่างยากอรรถาธิบาย พยายามทำให้เต็มที่และดีที่สุด
มีความสุขและอารมณ์ร่วมไปกับงาน ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร ผมไม่สนอะไรทั้งสิ้น
เพราะผมเชื่อว่า...สำนักพิมพ์นี้พิจารณาคนที่ความสามารถและฝีมือแน่แท้
เมื่อผมทำเสร็จ ก็ส่งงานทดสอบกลับไป แล้วก็รอ...รอ...

วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕  มีเมลตอบกลับมา...

ขอบพระคุณทางบริษัท ไอดีซี พรีเมียร์ จำกัด ที่่ให้โอกาส
ผมสารภาพตรงๆ เลยว่าอ่านเมลฉบับนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...น้ำตาเอ่อคลอ
นี่เราติดหนึ่งในสองที่เขาต้องการหรือ... ฉันทำได้ I can do it!
อยากตะโกนร้องแหกปาก อยากวิ่งกระโดดโลดเต้น อยากมีคนสำคัญให้บอก...ให้กอด...

สุดท้าย...อยากให้ผู้อ่านที่แวะผ่านมาบล็อกนี้ จงมีพลังความฝันและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ
อย่าให้ใครมาปรามาสและทำลายความฝันของเราเป็นอันขาด ขอพลังจงสถิตกับทุกท่าน

และขอขอบพระคุณยิ่งสำหรับสำนักพิมพ์ทั้งสองแห่งที่จะให้โอกาสผมได้ร่วมงานด้วย
ผมรองานอย่างใจจดใจจ่อและคันไม้คันมือยิ่งนัก...

***

หมายเหตุ : บริษัท สำนักพิมพ์ หรือท่านใดสนใจให้ผมรับใช้เกี่ยวกับงานหนังสือหนังหา
ไม่ว่าจะเป็น บรรณาธิการอิสระ หรือ พิสูจน์อักษรฟรีแลนซ์ ก็ติดต่อมาได้ที่...
chatcha26@hotmail.com หรือโทร. 08-4211-0526

23 ตุลาคม 2555

Keyword แนะนำหนังสือมือสอง

ช่วงนี้หน่วงๆ ล้าๆ เหมือนไม่ค่อยมีพลังจะเขียนสักเท่าไหร่
ทั้งไม่รู้ว่าจะเล่าไปเรื่อยเปื่อยด้วยเรื่องอะไรดี มันตื้อๆ เหมือนอับจนถ้อยคำ
อาจเพราะเน้นหางานฟรีแลนซ์มากกว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด
ชีวิตจะอยู่รอดได้ก็ต้องมีงานฉันนั้น งานคือเงิน...และรายจ่ายสิ้นเดือนนี้ก็ต้องใช้ "เงิน"


จากหัวข้อโพสต์ก่อนหน้า แนะนำหนังสือมือสอง ติด google เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๐ ตุลาฯ ที่ผ่านมา
ที่ผมเขียนแบบเม่าๆ ลงในบล็อกนี้ ผ่านไปสี่วันสามคืนกับอีกไม่กี่ชั่วโมงและสี่สิบห้านาที
หัวค่ำวันนี้ ๒๓ ตุลาคม ด้วยความร้อนวิชาเวท SEO แห่งพรรคกระยาจก ณ ประเทศไทย
ผมจึงลองทดสอบคีย์เวิร์ดคำว่า "แนะนำหนังสือมือสอง" อีกที ตามประสาศิษย์นอกรีตไร้กระบวนท่า
ขอเอามือปิดตาแวบหนึ่ง...ยุบหนอ พองหนอ...ทำใจหนอ...

Keyword แนะนำหนังสือมือสอง
Keyword "แนะนำหนังสือมือสอง"
สามารถไต่ขุนเขามรณะขึ้นมาอยู่หน้าแรกของกูเกิลในการใช้คีย์ที่ว่าค้นหาได้
แถมพ่วงกันมาอยู่ที่ ๙ กับ ๑๐ แบบหืดหอบ (เดี๋ยวคงมีแอบตกหายไปจากหน้าแรกในไม่ช้า)
โดยอันดับที่ 9 แน่แท้ว่าคือบล็อกแนะนำหนังสือมือสองโดยตรงๆ โต้งๆ
ทว่าอันดับที่ 10 นี่สิ ทำผมแปลกใจเล็กๆ เพราะมันคือบล็อกนี้ และเพิ่งโพสต์ไปแค่สามสี่วันเอง
ไม่รู้ว่าธาตุไฟเข้าแทรกลมปราณกูเกิลหรือไร-- แต่จริงๆ แล้วคือมันเป็นคีย์ที่ไม่แข็งเท่านั้นเอง

จริงๆ ก็ตั้งใจว่าจะอธิบายเรื่อง SEO กับ Keyword แบบบ้านๆ ประสาผู้ไม่มีทุนบ้าง
แต่หัวจิตหัวใจยังไม่นิ่ง ความรู้สึกก็ดันขุ่นมัวอีก ทั้งยังมีหนังสือมือสองที่ต้องลงแนะนำด้วย
ไหนจะมีบริษัทหนึ่งส่งไฟล์งานทดสอบในตำแหน่ง "บรรณาธิการ" ให้ทำอีก...
จึงต้องจัดเรียงลำดับสิ่งที่ตัวเองต้องทำ กระนั้นก็ขอแวบๆ มาอัพบล็อก Open Life สักชั่วยาม
จากนั้นจำต้องขอจรลีไปสะสางภารกิจที่คั่งค้าง (ทว่าไม่ได้เงิน) เพื่ออนาคตก่อน
เต็ง เตง เต่ง เตง เต็ง เต่ง เตง เตง เต่งงงงงงงง.......

***

ครั้งหนึ่งเมื่อมีคนถามองค์ดาไลลามะว่า
"อะไรเป็นเรื่องที่ท่านรู้สึกแปลกใจมากที่สุดเกี่ยวกับมนุษยชาติ"
ท่านตอบว่า
“มนุษย์เรานึ้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา
แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ
แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน
ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอยู่กับอนาคต
เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาจะไม่มีวันตาย
 และแล้วเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง"





20 ตุลาคม 2555

แนะนำหนังสือมือสอง ติด google

สวัสดียามบ่ายแก่ๆ ในวันเสาร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เป็นวันที่ว่างเปล่าและเรื่อยเปื่อยอีกวันหนึ่งของชีวิต Open Life
เปิดโน้ตบุ๊กแล้วออนไลน์แบบเนือยๆ ด้วยอารมณ์เซ็งๆ อย่างยากพรรณนา
หายใจเข้าก็ระทดระท้อ หายใจออกก็ระทมร้าวราน...

ไหนๆ อนาคตข้างหน้ายังมองไม่เห็นเทพีแห่งโชคประทานพรให้สมหมาย
หรือมีบริษัทและสำนักพิมพ์ที่ใจดีเกื้อกูลส่งงาน "ฟรีแลนซ์" มาให้ทำบ้าง
ก็เลยลองสำรวจคีย์เวิร์ดหนึ่งใน google ซะเลย นัยว่าเช็กเรทติ้ง
ทั้งอยากรู้ว่าตัวเองพอจะมีความสามารถทำ key ให้ติดอันดับกูเกิลได้ไหม...

ขอย้อนทบทวนไปโพสต์ก่อนๆ คือ SEO กับ Keyword กันเล็กน้อยพอเป็นกระสัย
ก็อย่างโพสต์ที่ผ่านๆ มาหลายหัวข้อ ซึ่งผมพยายามหางาน Freelance หรือบ่นพึมพำไปเรื่อยเปื่อย
หากที่ใดจ้างให้ผม พิสูจน์อักษรฟรีแลนซ์ หรือ บรรณาธิการอิสระ หรือ เขียนบทความลงเว็บ
ผมก็จะช่วยเรื่องการดูแลเว็บไซต์, ดันคีย์เวิร์ด, Submit, หา BackLink หรือช่วยทำ SEO ให้
เพื่อให้เว็บไซต์ท่านมีคนรู้จักมากขึ้น และอาจติดอันดับในการค้นหา Search Engine จากกูเกิลได้บ้าง
ทำนองโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 เพราะผมชอบการเรียนรู้และความท้าทายใหม่ๆ เสมอ

กลับมาว่ากันที่หัวข้อโพสต์ แนะนำหนังสือมือสอง ติด google ดีกว่า อารัมภบทพอละ
โดยเจตนาของโพสต์นี้ก็เพื่ออยากบันทึกไว้ว่า...ช่วงเวลาหนึ่งเราก็ทำได้...I can do
เรื่องของเรื่องคือ ผมอยากทดสอบคีย์เวิร์ดหนึ่ง คือ "แนะนำหนังสือมือสอง" ด้วยความกระหายใคร่รู้
ผมจึงใช้บริการ Blogger (ของฟรีอีกแล้ว) เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองพอจะมีความสามารถเพียงใด
ซึ่งบล็อกที่ว่าก็คือ See-Books หรือ Second hand Book in Condo นั่นเอง
คำว่า "แนะนำหนังสือมือสอง" ถ้าเสิร์ชเอนจินใน Google จะติดอันดับในหน้าแรก หรือที่เท่าไหร่?

เรามาดูกัน....

ชมคลิปแนะนำหนังสือมือสองได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=Kb49oVQpieg

บล็อกที่ทำไม่ขึ้นหน้าแรก...แงๆ ง๊องแง๊งเล็กๆ
อย่างน้อยๆ YouTube ก็เมตตานำพาให้คลิป see-book กระโจนโหนมาหน้าหนึ่งในอันดับที่ 3 ได้
เพื่อไม่ให้เสียเวลาพลันคลิกดูหน้าต่อไปทันใด

http://see-books.blogspot.com

ก็อย่างที่ปรากฏ ผมทำดีที่สุดแล้ว...
บล็อก see-books แนะนำหนังสือมือสอง นี้ ผมเริ่มสร้างเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2555
เวลาประมาณเดือนกว่าๆ ติดอันดับที่ 13 ของกูเกิล ผมก็พอใจแล้วครับ
อารมณ์ประมาณว่าครั้งหนึ่งในชีวิตโว้ย...ที่ข้าก็เอกอุและพอตัววะ (ขออภัยยิ่ง)
อย่างน้อยๆ ก็ได้ความรู้ ได้ทดสอบ ได้ทำ และได้แสดงศักยภาพแบบพื้นๆ เรื่อง SEO บ้าง

***

ทีนี้...เพื่อความชื่นใจ ชุ่มใจ อุ่นใจ อิ่มใจ ปลื้มใจ เปรมใจ และสบายใจ
ผมจึงใช้คีย์ "แนะนำหนังสือมือสอง" ค้นหาใน Google ค้นบล็อก ให้รู้เรื่องรู้ราวไปเลย
ไม่ขึ้นด้วยเว็บก็ต้องเล่นด้วยบล็อก... ไม่ได้ด้วยเสน่ห์ก็ต้องด้วยความสนุก ตู๊ดๆ ตู้ม...
เห็นแล้ว "หนังสือในคอนโด" บล็อกของผมเองครับ ^^

see-book แนะนำหนังสือมือสอง

Sometimes one pays most for the things one gets for nothing.
บางครั้งคนเราก็ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ไร้ค่า 









17 ตุลาคม 2555

Freelance เปลวเทียนกลางพายุ

สวัสดี...ชาวโลก สวัสดี...ประเทศไทย และสวัสดี...มิ่งมิตรที่อ่านบล็อกนี้
เคยไหม? กับบางวันที่แสนเลวร้าย แล้วหลังจากนั้นก็ยิ้มสดชื่น
เคยไหม? กับอารมณ์แสนหม่นหมอง แล้วจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสดใส
เคยไหม? กับเรื่องราวที่ทำให้ใจเศร้าระทม ก่อนจะพานพบเสียงหัวเราะร่า
เคยไหม? วันนี้ความรักบินจากไป กระทั่งวันต่อมาเจอคนที่ใช่...


วันนี้... ช่วงก่อนเที่ยง ผมได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจากบริษัทหนึ่ง ใจความดังนี้

เรื่อง ผลการสัมภาษณ์และคัดเลือก
เรียน คุณ..........

ตามที่ท่านได้มาเขียนใบสมัครและสัมภาษณ์ที่บริษัทฯ นั้น 

หลังจากที่ทางบริษัทฯ ได้พิจารณาแล้ว จึงใคร่ขอแสดงความเสียใจ
ที่จะเรียนให้ท่านทราบว่าประสบการณ์และคุณสมบัติของท่านไม่ตรงกับความต้องการกับตำแหน่งงาน

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้ความสนใจในงานของบริษัทฯ
และจะพิจารณาใบสมัครของท่านในกรณีที่มีตำแหน่งงานว่าง และเหมาะสมในโอกาสต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

ขอแสดงความนับถือ
แผนกบุคคลและธุรการ
บริษัท ...... จำกัด


ครับผม...ผมรับทราบว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติพอ และไม่ต้องมาเสียใจกับผมหรอกครับ
ผมไม่ต้องการถ้าหากไม่ได้กลั่นออกมาจากหัวใจแท้จริง แต่ก็ขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งที่ตอบเมล์กลับมา
ผมเข้าใจดีว่า...นี่คือแบบฟอร์มตอบกลับโดยทั่วไปที่เป็นการปฏิเสธอย่างแสนสุภาพที่สุด
อืม ประสบการณ์ผมบกพร่องและด้อยค่าขนาดนั้นเชียวรึ หรือผมมันต่ำต้อยไร้ราคาเยี่ยงกุลีหรือไร

ผมติดใจคำว่า "ประสบการณ์" จริงๆ ว่าใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวชี้วัด

มันเป็นคำที่ทำร้ายความรู้สึก และบั่นทอนความมั่นใจดีแท้ ผมไม่ได้ถืออัตตาในตนเองมากมายนัก
"เรียนให้ท่านทราบว่าประสบการณ์และคุณสมบัติของท่านไม่ตรงกับความต้องการกับตำแหน่งงาน"
เรื่องคุณสมบัติ ผมยอมรับได้เพราะสามารถตีความหมายในอาณากว้างๆ ได้
แต่แหมๆ ประสบการณ์ของท่านไม่ตรงกับความต้องการกับตำแหน่งงาน มันแทงใจเจ็บจี๊ดๆ นะ
ประสบการณ์งานร่วมสิบกว่าปีในด้านที่ผมสมัครงานตำแหน่งนั้น บริษัทคุณทำให้ผมตัวกระจิริดไปเลย
ว่าแบบทรนงในศักดิ์ศรีเล็กๆ ในฐานะคนจนลูกชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่มีศักดินา
ผมก็อยากท้าเอาบุคลากรในตำแหน่งนี้ในที่นั้นทุกท่านมาพิสูจน์  (ภาษากำลังภายในก็ท้าประลอง)
"ประสบการณ์และคุณสมบัติ" ของเนื้องานจริงๆ แบบหาคนกลางข้างนอกเป็นผู้ตัดสิน
โดยเอาต้นฉบับมา ๑ เล่ม หนาสัก ๑๐๐ หน้า ขอเนื้อหาแบบไม่สมบูรณ์ครบเครื่องเลย
แล้วทดสอบทำกันดูว่าใครทำได้ดีที่สุดหรือผิดพลาดน้อยที่สุด
เพื่อความเร้าใจ ก็ต้องจับเวลาด้วย หรือเอา ๑๐ หน้า ภายใน ๑๐ นาทีก็ได้

"จะพิจารณาใบสมัครของท่านในกรณีที่มีตำแหน่งงานว่าง และเหมาะสมในโอกาสต่อไป"
โอ๊ยๆ ขนาดตำแหน่งงานที่ผมสมัครยังไม่มีประสบการณ์และคุณสมบัติพอ
แล้วจะให้ผมไปวาดหวังอะไร หรือรอโอกาสเหมาะสมอันใดครับ ผมเจียมเนื้อเจียมตัวมาก
ผมว่าคุณโยนใบสมัครงานของผมลงทิ้งถังขยะไปได้เลย หรือว่าโยนทิ้งไปแล้ว---

***

วันนี้... ช่วงเย็นๆ ผมได้รับอีเมลจากบริษัทอีกแห่งหนึ่ง ใจความดังนี้

เรียน  คุณ..........
 

ผลการทดสอบกองบรรณาธิการ กองพิสูจน์อักษร ทางฝ่ายส่งผลลงมาให้แล้ว 
ผลคือ ทดสอบผ่าน ให้ทดลอง Freelance ค่ะ ขอบคุณค่ะ

เจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคล
บริษัท ....... จำกัด


ผมขยี้ตาอ่านซ้ำอีกที หยิกขาตัวเองด้วย อ่านทวน...ข้อความอาจสั้นทว่าได้ใจความ
ไม่ต้องประดิดประดอยประโยคให้หรูเลิศ ดูเป็นฝ่ายธรรมะ เอาแบบตรงๆ จริงใจพอ
แม้นผมจะยังติดใจ (อีกละ) "ให้ทดลอง Freelance" ว่าความหมายที่ต้องการบอกแบบไหน
กระนั้น ไว้ค่อยโทร.ถามเพื่อความกระจ่างชัดอีกที มิอยากจับยามตีความไปเองเออเอง
ซึ่งบริษัทนี้ ก่อนหน้าได้เมลมาให้ผมไปกรอกใบสมัครและทำแบบทดสอบในตำแหน่งที่ผมอยากทำ
โดยแบบทดสอบจะแบ่งเป็น ๒ ขั้น ข้อเขียนหมด มีผู้สมัคร (งานประจำ) มาร่วมทดสอบราวสิบกว่าคน
ซึ่งขั้นแรกทดสอบหลักการกระบวนทางความคิดผ่านโจทย์คณิตศาสตร์ มี ๑๐ ข้อ (ห้ามใช้เครื่องคิดเลข)
ส่วนขั้นสองก็เป็นการทดสอบความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ประมาณนิยายหนึ่งบท

ผมชอบนะ เวลาสมัครงานแล้วมีการ test หรือทดสอบความรู้ด้านนั้นๆ
อย่างน้อยๆ เราก็ได้แสดงความสามารถ ความรู้ หรือศักยภาพของตนเอง
ส่วนจะทำได้ หรือไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะขึ้นอยู่กับตัวเราเองล้วนๆ
แต่เวลาสัมภาษณ์ จะโกหกและสร้างภาพกันได้ อยากพูดให้ตัวเองดูดียังไงก็บรรยายได้
สมัยผมเคยทำงานประจำ ผมก็ออกข้อเขียนแบบทดสอบให้ผู้ที่มาสมัครงานในตำแหน่งที่ผมดูแลอยู่
เพราะผลของแบบทดสอบนั้นจะบ่งบอกถึงองค์ความรู้ของผู้สมัครได้ โดยไม่คำนึงถึงหน้าตา อายุ
ถ้าเคยดูรายการ The Voice Thailand เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ (ตัวจริงเสียงจริง)
นั่นแหละ การคัดเลือกคนมันต้องแบบนั้น เปิดโอกาสให้แก่กันแล้วพิจารณาที่ความสามารถเป็นหลัก

ส่วน ชื่อ บริษัทที่แจ้งว่า... ผม ทดสอบผ่าน นั้น ไว้ผมจะมาเปิดเผยให้ทราบ
(ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ระหกระเหินตกอับหายตัวไปจากโลกอินเทอร์เน็ต)
และจะขออุทิศเขียนให้หนึ่งโพสต์แบบเต็มๆ ซึ่งถ้าได้ยินชื่อบริษัทน่าจะรู้ 
หรือโฟกัสบอกชื่อหนังสือที่ขายดีและดัง ผมเชื่อแน่ว่าทุกท่านจะร้อง...อ๋อ...

***

โพสต์นี้ไม่ได้มีเจตนาลบหรืออคติอันใด ก็แค่ความคิดเห็นเล็กๆ ในสังคมโซเชียล
ผมเพียงอยากแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นบันทึกไว้เผื่อคนรุ่นหลัง หรือคนที่กำลังหางานทำอยู่
จงสู้ต่อไปครับ หากคิดว่าเราคือเมล็ดพันธุ์ที่ดี ไม่ว่าผืนแผ่นดินเป็นเช่นไรก็ต้องพยายามเติบโตให้ได้
อย่าให้ใคร หรือบริษัทไหนมาทำลายความเชื่อมั่นในตัวตนของเราเป็นอันขาด
ที่นี่ไม่เห็นคุณค่าเรา ที่อื่นก็ยังมี ทั้ง "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" ไม่ใช่การเลียแผล็บๆ สมองกลวง
หน้าไหว้หลังหลอก ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ สวมหัวโขนเข้าหากันเพียงเพื่อผลประโยชน์ที่ลงตัว

โลกหนักเพราะเราแบก
โลกแตกเพราะเราเร่ง
โลกที่เห็นจึงเส็งเคร็ง
เพราะเราเองเห็นแก่ตัวฯ

สำหรับผมแล้ว...ยังต้องดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป 
หนทางข้างหน้าไม่ได้ลาดยางมะตอย ไม่ได้มีดอกไม้เบ่งบานสล้างสองข้างทาง
การหางาน Freelance ทำ ก็อาจดูประหนึ่งเปลวเทียนกลางพายุ ที่พร้อมจะมอดดับได้ทุกเมื่อ
ยิ่งลมแรงก็ยิ่งดับง่าย ละลายง่าย ทั้งไม่รู้ว่าเมื่อดับแล้วจะจุดติดได้อีกหรือไม่... และจะมีไม้ขีดหรือเปล่า...
ทว่าเปลวเทียนในยามที่อากาศสงบ ลมสงัดนิ่ง ราตรีกาลโรยตัวประดับฟากฟ้า  
แสงเทียนเล่มน้อยๆ ก็ย่อมให้ความสว่างพอ หรือให้ไออุ่นกับแมลงตัวน้อยได้เช่นกัน

ในอนาคตอีกร้อยปี...พันปี...หมื่นปี...โลกเราอาจกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ก็ได้
ธรรมชาติอาจเรียกคืนกับมนุษย์ ลงทัณฑ์ผู้คน เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ตักตวงมาใช้
เมื่อนั้นอาจไม่มีไฟฟ้า ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีน้ำมัน ไม่มีแก๊ส ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
ยามนั้นหากได้เห็นเปลวเทียนเต้นเรื่อๆ รางๆ ก็สามารถขับไล่ความกลัวในจิตใจได้...ไม่มากก็น้อย



14 ตุลาคม 2555

ฟรีแลนซ์ ชีวิตที่ไม่ง่าย

ห่างหายไปหลายวันด้วยบังเอิญมีงานฟรีแลนซ์จากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งส่งมาให้ทำ
กอปรกับเฝ้ารอความหวังจากสำนักพิมพ์อีกหลายที่ซึ่งส่งใบสมัครไปของานดื้อๆ
ทั้งที่ลึกๆ ก็ไม่คาดหวังมากมาย มันไม่มีอะไรสวยงามและเฟอร์เฟ็กต์สมบูรณ์หรอก
เพียงแต่เศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจที่หมายว่าคงจะมีสักสามสี่สำนักพิมพ์ให้โอกาสบ้าง

ไหนๆ บล็อก เล่าไปเรื่อยเปื่อย อาจหมดแรงจะขับเคลื่อนในกาลข้างหน้า
ด้วยผู้เขียนอาจประสบชะตากรรมที่พลิกผันกระทั่งอาจหลีกหายจากโลกอินเทอร์เน็ต
ก็แหม...ยังไม่มีเงินจ่ายค่าเน็ตเดือนที่แล้วเลย ยังมิพักต้องกล่าวถึงว่าเดือนต่อไปๆ
ด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ จะหาทางออกหรือหาเงินจากไหนมาจ่าย ทุกวันนี้ก็อยู่แบบท้อใจและทำใจ
แม้นจะได้งานฟรีแลนซ์มาจากที่หนึ่ง ทว่ากว่าจะได้เงินนั้นก็ต้องรอและรอ
การรับงานฟรีแลนซ์นั้นต้องทำใจเรื่องรายได้ที่ไม่แน่นอน และวันที่จะได้รับค่าตอบแทน

Open Life
ไหนๆ บล็อกนี้อาจมาถึงจุดวิกฤตและสิ้นสุดในไม่ช้า...
ผมจึงใคร่ขอผันแปรหัวข้อโพสต์เป็น ภาษาไทย ซะเลย
เอาแบบสื่อสารกันตรงๆ เยี่ยงชาวไทยหัวใจรักแผ่นดินถิ่นฐานบ้านเกิด
ทั้งอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่อันยากคาดเดานี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวแสนเบื่อบรมและสุดเห่ยต่อไป
จริงๆ ผมก็อยากประวิงเวลาและยืดเยื้อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดื้อด้านและดึงดันให้สุดๆ
ด้วยหัวใจยังชอบที่จะเขียน คือถ้าไม่อ่านก็ต้องเขียน (พิมพ์) ทว่าชีวิตนั้นไม่ง่ายและไม่งามดั่งฝัน

Freelance... ผมนึกยังไงหนอถึงพยายามจะหางานฟรีแลนซ์ทำ
ในยุคที่อนาคตค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ วันละ 300 บาท และจบปริญญาตรี เงินเดือน 15,000 บาท
แถมเป็นงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับ บรรณาธิการ และ พิสูจน์อักษร ด้วย
อุบ๊ะ...มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หมิ่นเหม่ และมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือไรกัน
ซึ่งวันเวลาที่ผ่านไปหลายเดือนนั้นก็ให้คำตอบชัดเจนที่สุดแล้ว ว่า...มันไม่ง่าย
ส่วนใหญ่งานหนังสือมักจ้างเป็นพนักงานประจำมากกว่า ด้วยควบคุมดูแลง่าย สั่งการได้ไว
หรือช่วงปิดต้นฉบับ ปิดเล่ม ใกล้เทศกาลงานขายหนังสือ อาจต้องนอนค้างที่บริษัทฯ ด้วย
แต่หากจะจ้างงานแบบ "ฟรีแลนซ์" แล้ว ต้องรอให้งานล้นกองบรรณาธิการและคนในทำไม่ทัน
ก็อาจมีการเรียกใช้บริการเหล่ามือปืนรับจ้างฟรีแลนซ์เหล่านี้บ้าง (ลาภลอยที่ลิบเลือน)

รับจ้าง พิสูจน์อักษร Freelance และ บรรณาธิการอิสระ
ผมได้ไปตะลอนลงประกาศฝากไว้ตามเว็บต่างๆ เพื่อพยายามดิ้นรนหาเงินเพื่อการมีชีวิตรอด
ทั้งเผื่อว่าอาจมีบริษัทหรือสำนักพิมพ์ไหนสนใจบ้าง กระนั้นก็ดูจะเงียบเชียบและว่างเปล่า
ประหนึ่งชาวประมงที่ออกเรือสู่มหาสมุทรเวิ้งว้างเบื้องหน้า โดยมิรู้ว่าเทียวกลับจะได้ปลามาเท่าไหร่

ทว่าที่สุด ผมก็ยังคงมีความหวังอยู่ แม้นจะแลดูริบหรี่และรางเลือนก็ตาม
ไม่รู้สิ...หากชีวิตไร้ซึ่งความหวังและความฝันแล้วจะอยู่เช่นไรล่ะ--
หรือบทสรุปของที่สุดคงไม่แคล้วต้องอยู่กับความเป็นจริง ทั้งก้มต่ำยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ในเมื่อเลือกทางที่จะหางานแบบฟรีแลนซ์แล้ว ก็ควรน่าเคารพการตัดสินใจของตัวเอง
ถึงแม้นท้องจะหิวแสบ หนี้สินจะมากมาย และยังมองไม่เห็นแสงสว่างเบื้องหน้าเลย

เห้อ...เมื่อไหร่หนาจะหลุดพ้นและได้เขียนบล็อกโอเพน ไลฟ์นี้ด้วยความดีใจเริงร่า สุขี
มีท่วงทำนองอารมณ์ขัน หรือสมองแช่มชื่น ด้วยหัวใจเบิกบาน และด้วยความรู้สึกปีติสุขบ้าง

นึกถึงบทกวีของพี่โย - เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ วรรคหนึ่งขึ้นมาทันใด
“พื้นที่ข้างนอกสิ้นไร้    พื้นที่ข้างในไพศาล
เขียนเถิดเขียนจิตวิญญาณ    เขียนเพื่อเบิกบานด้านใน –ฯ"


ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ทำงานฟรีแลนซ์ทุกท่าน และผูัทำงานประจำทุกนาม
เพราะการมีงานทำย่อมหมายถึง "เงิน" ที่จะตามมา...


8 ตุลาคม 2555

Poor ข้นแค้นในวิถี

เหนื่อยไปเรื่อยๆ ค้นหาความฝันที่ไม่รู้ว่าหล่นหายอยู่ ณ ห้วงแห่งไหน
นั่งเหว่ว้าในห้องอย่างหม่นหมองขณะท้องร้องโหยโครกครากเป็นระยะ
กอดเข่ามองชั้นหนังสือด้วยสายตาแสนว่างเปล่า ความคิดมืดตื้อ อารมณ์มัวมุ่น
ด้วยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเก็บเสื้อผ้า มัดหนังสือ หรือแพ็คของอย่างไร
ผมถอดใจ อ่อนใจ และปลงใจเสียแล้ว เริ่มยอมแพ้กับวิถีในเมืองหลวง

บ่ายแก่ๆ วันเสาร์ที่ผ่านมา... 
เพื่อนคนหนึ่งแวะมาหาที่ห้องพร้อมข้าวคลุกกะปิหนึ่งกล่อง 
ลูกชิ้นย่างห้าไม้ ก่อนเพื่อนจะกลับก็ยังแบ่งเงินให้ผมใช้ ๒๐๐ บาท
ทำให้ผมพอมีเงินซื้อข้าวสาร ๑ กิโล ไข่ไก่ ๕ ฟอง 
กับกาแฟซองเล็ก ที่ประทังชีวิตอยู่มาได้วันนี้
ขอบใจนะสำหรับน้ำใจและความห่วงใย ทั้งๆ ที่เพื่อนก็แย่เช่นกัน

รสชาติความจน การไม่มีเงิน มันช่างบาดลึก ทุรนทุราย และปวดปร่าใจยิ่ง
เป็นประสบการณ์แสนย่ำแย่อีกครั้งของชีวิตที่ห่างไกลจากความสำเร็จอันใด
ผมไม่โทษใครหรือผู้ใดเลย เพราะนี่คือชะตากรรมของตัวผมเอง ความผิดพลาดของตนเอง
แม้นบัดนี้จะพยายามดิ้นรนเพื่อการมีลมหายใจสืบไป ทว่าหนทางข้างหน้าก็แลดูตีบตันและมืดมิด
เริ่มหมดพลังลงไปทุกที บางครายังคิดอยากไปเป็น "ขอทาน" ด้วยซ้ำ

ผ่านไปจะร่วมสองเดือนกับการที่ผมส่งเมล์ไปสมัครงาน
พิสูจน์อักษรฟรีแลนซ์ หรือ บรรณาธิการอิสระ
โดยส่งไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่พอหาที่อยู่อีเมล์ได้ ประมาณยี่สิบกว่าบริษัท
ซึ่งส่วนใหญ่จะเงียบเชียบ หายลับ ไม่มีการตอบรับ หรือคงไม่สนใจ หรืออาจไม่มีนโยบายจ้างฟรีแลนซ์
แม้นบางที่จะตอบมาบ้าง มีการคุยกันบ้าง หรือเรียกไปสัมภาษณ์บ้าง หรือบอกว่าจะส่งงานให้บ้าง
ทว่าที่สุด...ก็คือการ "รอคอย" อย่างหมดหวังและสิ้นฝัน เหมือนสายน้ำไหลผ่านไปไม่หวนกลับ...

อย่างว่าแหละ ผมมันคนจน ไม่มีเส้นสาย ไม่มีมารยาสาไถย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
คิด รู้สึก หรือเห็นเป็นเช่นไรก็ว่าไปตามนั้น ความเป็นเมืองมิอาจกลบกลิ่นอายความเป็นบ้านนอกได้
เมื่อไม่มีสำนักพิมพ์ไหนสนใจ หรือเมตตา หรือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือให้โอกาสกัน
ก็ต้องทำใจยอมรับสภาพความจริง อดก็คืออด ตายก็คือตาย... อย่าหมายให้ใครมาสมเพชเห็นใจ
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ขอเงินฟรีๆ พร้อมจะทำงานแลกเงิน เพราะผมอยากทำงานเกี่ยวกับหนังสือ
อาจเป็นที่แน่แท้ว่า...ทางเลือกสุดท้ายก็คือซมซานกลับบ้านอย่างผู้แพ้ราบคาบ

นี่วันพุธที่ ๑๐ ตุลาคมนี้ ก็มีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเมล์มาให้ไปทำแบบทดสอบงาน
ช่างน่าเศร้าที่ผมไม่มีเงินค่าเดินทาง ขนาดที่ค่าไฟกับค่าเน็ตก็ยังไม่มีจะจ่ายเช่นกัน
ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่อยากจะนึกถึง วันนี้ก็ทำไข่ตุ๋นสองฟองโดยใส่น้ำให้มากหน่อย
แบบต้องกินทั้งวัน ทั้งที่จิตใจเดี๋ยวนี้ไม่นึกหิวเอาซะเลย แค่กินเพื่ออยู่ไปวันต่อวันเท่านั้น..

ยังดีที่มีคนเมล์มาสั่งซื้อหนังสือ พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ ราคา ๑๘๙ บาท
ซึ่งถ้าโอนเงินมาให้ ผมก็คงมีเงินพอเดินทางไปเขียนใบสมัครงานและทำแบบทดสอบในวันพุธได้
ช่วงนี้ได้แต่หวังเงินเล็กๆ น้อยๆ จากการเอาหนังสือในห้องมาลงขายที่เว็บ Life Book
หรือท่านใดสนใจจะแวะมาอุดหนุนหนังสือบ้างก็ขอบพระคุณอย่างยิ่ง...
เผื่อว่าจะพอได้เงินจ่ายค่าไฟกับค่าเน็ตได้บ้าง ด้วยสังคมไทยคงไม่แห้งแล้งน้ำใจ

ผมกอดเข่ามองหนังสือตามชั้นด้วยสายตาเลื่อนลอยและหม่นหมอง
พลางคิดเงียบๆ ถึงวันต่อไป...และต่อไป...










6 ตุลาคม 2555

Sleep หลับใหลหลบเร้น

จากเล่าไปเรื่อยเปื่อยเริ่มอยากจะนอนไปเรื่อยๆ โดยไม่อยากตื่นขึ้นมาดูโลก
นอนซมซานซึมเซาแบบผู้ป่วยไข้ที่ยากจะเยียวยารักษาให้หายขาด
บางทีชีวิตก็แสนน่าเบื่อยิ่งนัก แถมยังดูไร้ค่าไร้ราคาในค่าความเป็นคนอีก
หรือว่าหัวใจนั้นสูญสิ้นความหวังและความฝันใดๆ ไปแล้ว...

เช้าวันเสาร์นี้...
ผมไม่อยากลุกลากสังขารลงจากเตียงเลย มันหมดพลังงานชีวิต
อยากนอนอุตุหรือครุ่นคิดปัญหานานัปการที่ดูเหมือนไร้หนทางออก
ว่าตามจริงก็อยากนอนนิทราหลับยาวๆ แล้วลืมเรื่องราวที่ผ่านมาให้หมดสิ้น
หลับใหลหลบเร้นอยู่ในดินแดนไกลโพ้นที่ไร้เทคโนโลยีและวัตถุศิวิไลซ์

ผมหวนนึกถึงบทเพลง "ฉันฝันว่าฉันตาย" ของ ชูเกียรติ ฉาไธสง ขึ้นมาอีกครั้ง...


"ฝันฉันล่องลอย ใจลอยไกล ไปถึงดวงดาว
ฉันผ่านความร้อนหนาว ผ่านความปวดร้าว กลางฟ้าแสนเปลี่ยว
ไกลสุดแสนไกล ไปเพียงผู้เดียว ใจเอ๋ยใจ ฉันนั้นแสนเหงา
ฉันตั้งคำถาม โลกที่แสนงามมีเพื่อสิ่งใด
คนเกิดมาต้องตาย รอวันสุดท้าย ชีวิตว่างเปล่า
เป็นเศษธุลี ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ชีวิตไร้ความหมาย
ฉันต้องเดินทางที่เคว้งคว้างเพียงเดียวดาย
ฝันเห็นคนดี ที่สาบสูญไปมากมาย
สีของโลก ร้อนแรง เสียดแทงจนแหนงหน่าย
บทลำนำ แห่งความตาย เริ่มครอบงำ
ฉันฝันว่าฉันตาย เลือดแดงหลั่งราย ตายบนดวงดาว
หุ้มห่อด้วยหมอกขาว อาบน้ำค้างพราว กลางฟ้าหนาวเย็น
โลกพันธนาการ มีคนมองเห็น ฉันแพ้พ่าย ความหมายที่ต้องเป็น..."


***
เสียงนกดังแว่วไหวมาจากระเบียงหลังห้อง แสงตะวันสาดฉายคล้ายเต้นระบำปลุกเร้า
ผมยังคงนอนเอามือก่ายหน้าผากเพื่อคิดวิธีหาเงินมาจ่ายค่าไฟกับค่าเน็ต
พลันคิดถึงแม่ขึ้นมาจับจิต นึกถึงใบหน้าแม่ที่แก่ชรามากขึ้นไปตามเดือนปี...

เมื่อต้นเดือนนี้ ผมโทรศัพท์ไปหาแม่พร้อมกับเอ่ยปากยืมเงินท่านมาจำนวนหนึ่ง
เพื่อเอามาชำระค่าผ่อนคอนโด ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ และค่าผ่อนโน้ตบุ๊ก...
ทว่าก็ยังไม่พอจ่ายค่าไฟกับค่าเน็ต นี่ยังมิต้องกล่าวถึงค่ากินอยู่ในเมืองหลวงอีก
นี่ผมรอนแรมไกลจากบ้านมาอยู่ในมหานครเพื่อดิ้นรนค้นหาอะไรล่ะนี่--
ยิ่งคิดก็ให้ยิ่งอยากหลับใหลนิ่งสนิท...ผ่อนลมหายใจทีละนิดอย่างเหนื่อยล้า...นิทรานิรันดร์

เที่ยงกว่าๆ เสียงเด็กๆ วิ่งหยอกล้อเล่นกันดังผสานมาจากระเบียงหลังห้อง
แสงตะวันหรุบหรู่เสมือนจะหลีกทางให้เมฆครึ้มฝนได้สำแดงบทบาทบ้าง
ผมยังอยากนอนต่อ...หมดเรี่ยวแรงคิดอ่านหรือจะทำอะไร ไม่อยากตื่นมารับรู้ความจริง
ข้าวสารหมด เงินหมด ไข่ไก่หมด กาแฟหมด เหลือแต่มาม่าสองซองกับปลากระป๋องอีกหนึ่ง
วันนี้...รอดตายไปได้อีกหนึ่งวัน กระนั้นก็ไม่มีกะจิตกะใจอยากกิน รอให้หิวสุดๆ ก่อน

ผมนอนมือก่ายหน้าผากพลันหลับตาต่อ...


3 ตุลาคม 2555

Test ลงยูทูปในเว็บบอร์ด

ต้นเดือนอีกแล้ว...ไม่แคล้วต้องหายใจเบาๆ เพื่อประหยัดพลังชีวิตบ้าง
รอลมหนาวแรกแห่งเหมันตฤดูมาเยือนอย่างเปล่าเปลี่ยวและเคว้งคว้าง
ครานี้ ขอรีแล็กซ์เรื่องเครียดๆ แสนกลุ้มไว้ที่ปลายฟ้าชั่วคราว ฝากดาวดูแลด้วย

เล่าไปเรื่อยเปื่อย...โพสต์นี้จะขอสวมเสื้อคลุมเยี่ยงผู้รู้ปลายแถวสักเล็กน้อย
คือจะกล่าวถึง "วิธีลงยูทูป (YouTube) ลงในเว็บบอร์ด" แบบบ้านนอกๆ

เริ่มต้นตั้งไข่ ไม่ใช่สิ... เอาเป็นว่าถ้าเราชอบเล่นเว็บบอร์ดสักที่หนึ่ง
ชอบเฮฮาพูดคุย หยอกล้อ หรือต้องการสื่อสารด้วยบทเพลง หรือวิดีโอจากยูทูป
โดยอยากให้ภาพยูทูปปรากฏหราในกระทู้ที่ตอบหรือแสดงความคิดเห็น นัยว่าเป็นสีสัน
ผมขอสมมุติ "เว็บบอร์ด" สักแห่งหนึ่งเพื่อประกอบการอธิบายแบบบ้านๆ

ณ หน้าเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง

คลิก "ใส่แฟลช"

เมื่อคลิกแล้วจะปรากฏข้อความนี้ [flash=200,200][/flash]
พักไว้ก่อน อาจไปเข้าห้องน้ำ หาขนมกิน หรือโทรคุยกับแฟนก่อนก็ได้
แต่ไม่อยากเสียเวลาก็เปิดหน้าต่าง www.youtube.com ขึ้นมาทันใจ
แล้วเลือกหาเพลง หาคลิป หรือหาอะไรต่อมิอะไรในยูทูปที่อยากจะนำมาลงในเว็บบอร์ด
ผมยกตัวอย่างเช่น ผมอยากเอาเพลง You and I ของ Scorpions มาลงละกัน

Click แบ่งปัน

ก่อนจะคลิก "แบ่งปัน" ก็กด "ชอบ" สักหนึ่งฉึกเพื่อน้ำใจที่จะเอาเพลงเขามาลง
จากนั้นก็ตามด้วยการกด "ฝัง" แล้วก็อบปี้ในพื้นที่สี่เหลี่ยมข้างล่างที่ปาดคลุมไว้

ฝัง + ก็อบปี้

อุ๊ย... ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะครับ
ระหว่างนี้ก็เปิดโปรแกรม Notepad ขึ้นมาพลางๆ ก่อน (แวบบบบบ)

ห้านาทีผ่านไปไวเหมือนนิทานปรัมปรา...
ที่ให้เปิดโน้ตแพ็ดขึ้นมาก็เพื่อจะเอาที่ก็อบปี้โค้ตเมื่อกี้มาวางลง จะเป็นเช่นนี้แล...

ให้ก็อปที่ปาดคลุมไว้เท่านั้น

แล้วก็กลับไปยังหน้า เว็บบอร์ด ที่เราจะตอบกระทู้และต้องการลงยูทูป
ตรงที่ค้าง [flash=200,200][/flash] ไว้นะ (จำได้ก๋า)
เราแค่ก็อป http://www.youtube.com/v/T_fbuSuP49I?version=3&amp;hl=th_TH&amp;rel=0 มาลง
พร้อมทั้งเปลี่ยนขนาดภาพที่ต้องการแสดงจาก 200,200 เป็น.... (ดังภาพตัวอย่าง)

ขั้นตอนสุดท้ายแล้วจ้า

ที่สุด...ก็จะได้คลิปวิดีโอยูทูปดังนี้....



หากผมอธิบายแล้วงงๆ มึนๆ ก็ต้องขออภัยด้วยครับ
เพราะพิมพ์แบบสดๆ ไม่มีสคริปต์...

28 กันยายน 2555

Real ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

เล่าไปเรื่อยเปื่อย...เพ้อพร่ำไปอย่างปวกเปียกและแปลกเปล่า
นั่งพิมพ์ไปอย่างเศร้าๆ ด้วยดวงใจแสนห่อเหี่ยวหดหู่
สมองมีเรื่องมายมายให้ขบคิด คำนึง และเครียดขึงยิ่ง

นี่ถ้ายังทำงานประจำอยู่ วันนี้เงินเดือนก็ออกแล้ว หัวใจพองโตทุกๆ สิ้นเดือน
วันเงินเดือนออกทีไร ให้รู้สึกเริงร่ารื่นรมย์ได้ชั่วขณะหนึ่ง
อย่างน้อยๆ ก็มีเงินจับจ่ายใช้สอย หาของกินอร่อยๆ หรือแวะห้างเพื่อซื้อของใช้เข้าห้องบ้าง
แต่นี่... ณ ปัจจุบันนี้... กลับต้องต้มไวไวกินเป็นมื้อที่สอง ขณะบิลรายจ่ายวางแหมะนิ่ง
ผมไม่มีกะจิตกะใจจะเปิดดูยอดชำระต่างๆ ทั้งค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าเน็ต ค่าไฟ
โอ้! ไหนจะค่าผ่อนคอนโดอีก โอ้ย...เครียดๆ กลุ้มๆ

เดือนนี้รอดมาได้ก็เพราะเอ่ยปากยืมเงินรุ่นพี่คนหนึ่งมา ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจ่ายคืนเขาได้เมื่อไหร่
การเป็นหนี้คนอื่นนี่ก็ทุกข์ได้เช่นกัน ทั้งทุกข์ทั้งเครียดเจียนจะบ้า
หมดสิ้นกำลังใจจะทำอะไร สูญเสียความมั่นใจที่จะดำรงชีวิตเยี่ยงสุจริตชน
อยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด อยากจบชีวิตตัวเองไว้เพียงวัยเท่านี้

วาดหมายเรื่องงาน พิสูจน์อักษรฟรีแลนซ์ หรือ บรรณาธิการอิสระ จากสำนักพิมพ์สักที่
เผื่อว่าสำนักพิมพ์ไหนจะส่งงานให้ผมรับใช้บ้างสักเดือนละเล่มสองเล่ม
ก็ดูเหมือนว่าจะไร้วี่แวว ไร้โอกาส ไร้ที่ใดเมตตา ไร้คนเห็นใจ ซึ่งก็ทำใจไว้แล้ว
โลกความจริงกับโลกความฝันนั้น บางทีก็ต่างกันและอาจเป็นทางคู่ขนานที่ไม่มีวันบรรจบได้
แต่ก็ช่างเหอะ...ร้องแรกแหกกระเชอไปก็เท่านั้น จำไว้...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

คงจำกันได้จากบทความโพสต์ก่อนๆ ที่ผมเขียน Resume ไปหาสำนักพิมพ์ต่างๆ
ซึ่งมีทั้งตอบรับ เงียบสนิท และดูเหมือนว่าอาจได้งาน
ทว่าที่สุดแล้วโลกแห่งความจริงก็คือสิ่งแท้แน่นอน เป็นโลกที่ซับซ้อนและยากเข้าใจ
ด้วยอาจเป็นสังคมแห่งเส้นสาย พรรคพวก หรือระบบกลไกทางธุรกิจล้วนๆ ที่ยึดกำไรเป็นสรณะ
ซึ่งคนจนๆ หรือคนด้อยโอกาสคงไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ ต้องยอมรับและก้มหน้าให้ต่ำไว้...

หลายเดือนมานี้... ผมอยู่อย่างลำเค็ญ กระเหม็ดกระแหม่ ทว่าก็ยังมีความหวังเล็กๆ อยู่เสมอ
ขนม นม ผลไม้ ไอศกรีม หรือของกินดีๆ สำหรับผมที่ผ่านมานั้นไม่เคยได้ลองลิ้นชิมรสเลย
ช็อกโกแลตรสชาติเป็นยังไงนะ มะม่วง ฝรั่ง องุ่น แอปเปิ้ลจะอร่อยละมุนลิ้นเช่นไรหนอ
ด้วยชีวิตการกินในหลายเดือนนี้วนเวียนอยู่กับแกงถุง ไข่ไก่ ปลากระป๋อง ไวไว มาม่า และน้ำเปล่า
ซึ่งบ่อยครั้ง...ผมก็ถามตัวเองว่าทำไมถึงยังทนอยู่ในเมืองหลวงอีกนะ
ทำไมๆ ถึงยังอยากมีลมหายใจอยู่ ทำไมๆ ไม่หาวิธีฆ่าตัวตายให้จบๆ สิ้นไป...


ก็เพราะ "แม่" ที่ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
อยากมีเรื่องราวดีๆ มีอาชีพดีๆ มีเงินพาแม่ไปเที่ยวโน่นกินนั่น อยากให้แม่ภูมิใจในตัวลูกคนนี้
ที่สำคัญการให้แม่มางานศพลูกคงเป็นเรื่องที่แสนปวดร้าวใจนัก

ผมไม่ได้ต้องการรวย หรือปรารถนามีเงินทองมากมายแต่อย่างใด
แค่อยากมีพื้นที่ยืนในสังคม มีงานทำที่สุจริต และมีเงินพอสร้างความฝันเล็กๆ บ้าง
หรือถ้าโชคดีมีทรัพย์ ผมตั้งเจตนาว่าจะช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส คนที่สังคมทอดทิ้ง
คนที่โลกไม่เหลียวแล กระทั่งสัตว์โลกที่มนุษย์ไม่ต้องการ ทว่านั่นก็เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ

สิ้นเดือนนี้...ผมยังไม่มีเงินจะจ่ายค่าต่างๆ แต่อย่างใด
ครั้นจะให้ไปหยิบยืมเงินจากใครก็ให้เกรงใจยิ่งยวด เพราะผมไม่รู้ว่าจะมีปัญญาใช้คืนเมื่อไหร่
ได้แต่หวังว่าจะมีงานเข้ามาให้ทำบ้าง เพราะหากมีงานก็หมายถึงต้องได้เงิน

บอกตรงๆ ว่าตอนนี้...ผมคิดถึงแต่เรื่องความตายเท่านั้น
เพราะจะให้ทำสิ่งผิดกฎหมาย หรือไปปล้นจี้ชิงทรัพย์ใครนั้น ผมทำไม่ลงหรอก ใจไม่ถึง
กลัวติดคุก กลัวบาปกรรม และไม่อยากให้แม่เสียใจที่เห็นลูกกระทำตัวเป็นคนเลว

หากว่า...วันหนึ่งบล็อกนี้ หรือบล็อกไหนๆ หรือร้านหนังสือที่ผมทำไว้นั้น
ไม่มีการอัพเดทเนื้อหา ไม่มีความเคลื่อนไหว หรือนิ่งสนิท หรือหายไป (เพราะผมลบทิ้ง)
นั่นอาจเป็นวันที่ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกหรือในสังคมไทยแล้วก็ได้...
มันก็แค่การตายของคนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

ลาก่อน...





26 กันยายน 2555

Read หนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน

เล่าไปเรื่อยเปื่อย...เริ่มป้อแป้ ปวกเปียก และสะเปะสะปะอีกครา
สามวันดีสี่วันไข้ ผลุบๆ โผล่ๆ ตามประสาอารมณ์คนเกียจคร้านที่แก้ยาก
ขณะวิถีชีวิตก็ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าที่สุดจะลงเอยเฉกเช่นไร

Read...นั่งทบทวนคนเดียวว่าเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งๆ ที่ก็มีเวลาว่างมากมาย
ไฉนไม่คิดอยากหยิบหนังสือบางเล่มที่เคยตั้งเจตนาว่าจะอ่าน...
เคยคิดว่าสักวันหนึ่ง วันที่ว่างๆ หรือยามแก่ชราจะต้องอ่านหนังสือวรรณกรรมเหล่านี้
- ผลพวงแห่งความคับแค้น ของ จอห์น สไตน์เบ็ค
- จินตนาการไม่รู้จบ ของ มิฆาเอ็ล เอ็นเด้
- เงาสีขาว ของ แดนอรัญ แสงทอง (อยากอ่านรอบสอง)
- เหยื่ออธรรม ของ วิคเตอร์ ฮูโก
- พี่น้องคารามาซอฟ ของ ฟีโอโดร์ ดอสโตเยสกี
- ดอนกิโฆเต้แห่งลามันซ่า ของ มิเกล์ เด เซร์บันเตส ซาเบตร้า

สักวันหนึ่ง...คงได้หยิบมาอ่านนะ
ทว่าที่สุดก็ยังผัดวันประกันพรุ่งเช่นเคย
กล่าวได้ว่ามีข้ออ้างสารพัดที่จะหยิบยกเพื่อแก้ตัวให้ตนเองเสมอ
ก็ไม่รู้หากวันหนึ่งต้องตายไปจริงๆ คงอดอ่านหนังสือเหล่านี้แน่ๆ
ทั้งยังมีหนังสืออีกมากมายที่ต้องการจะอ่าน...อ่าน...และอ่าน...

ทุกวันนี้ เราอยู่กับคอมพ์หรือโน้ตบุ๊กมากเกินไปหรือเปล่า
ชอบท่องเน็ตเกินเลยและเสพติดโลกออนไลน์จนหลงลืมอะไรไปบ้างไหม
วันและคืนที่ผ่านไปนั้น...เราทำอะไรอยู่ เรามัวแต่อ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อยๆ
เดือนและปีที่ผ่านไปนั้น...เราอายุมากขึ้น ขณะเวลาแห่งชีวิตเริ่มเหลือน้อยลง

จริงๆ หยิบหนังสือที่อยากอ่านมาสักเล่ม แล้วอ่านแค่วันละยี่สิบสามสิบหน้าก็ทำได้
หรือว่าหัวใจไม่นิ่ง อารมณ์ในการอ่านไม่ก่อเกิด สมองก็แออัดไปด้วยปัญหาสารพันร้อยแปดพันเก้า
ถ้าว่ากันตามจริง เราอาจหลงอยู่ในมายาวัตถุ วนเวียนในสังคมทุนนิยม และติดกับลึกในเมือง

วาดฝัน...ว่าสักวันหนึ่งหากชีวิตได้มีโอกาสและวาสนาอยู่ในบ้านนอกชนบท
มีบ้านหลังเล็กๆ มีครอบครัวที่อบอุ่น ประกอบอาชีพอิสระ และอยู่กินอย่างพอเพียง
จะผูกเปลนอนใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับหนังสือดีๆ สักเล่ม แล้วนอนอ่านอย่างมีความสุข
อ่านไปหลับตาไปบ้าง อ่านไปก็พักมองมวลเมฆบนฟ้าบ้าง อ่านไปก็ฟังเสียงธรรมชาติรอบตัวบ้าง

ก็ได้แต่ฝันไปเรื่อยเปื่อย...
สักวันคงได้อ่านหนังสือที่อยากอ่านนะ หากไม่ Close Life ซะก่อน...

เกือบลืมแนะนำบล็อกล่าสุด เกี่ยวกับ แนะนำหนังสือมือสอง เชิญๆ ครับ

.