28 มิถุนายน 2555

Bottle จำเพื่อลืม ดื่มเพื่อเมา

crack a bottle...เปิดขวดอะไรดีล่ะ น้ำอัดลม น้ำเปล่า นม หรือเหล้า--


"ข้าพเจ้ามิได้นิยมชมชอบในรสชาติของสุรา 
แต่ข้าพเจ้าชอบบรรยากาศของการร่ำสุรา" 
โกวเล้งกล่าวไว้...


ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในรสชาติและบรรยากาศของการดื่มเหล้า 
จะมีกับแกล้มหรือไม่มี จะผสมโซดาหรือเพียวๆ มิเคยบ่ายเบี่ยงเลย ดื่มได้ทั้งนั้น
ยิ่งดื่มกับมิตรสหาย เพื่อนรู้ใจ หรือวงสนทนาที่เฮฮาและเปี่ยมเรื่องราวสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ก็มิเคยขัด
แต่ไม่ชอบดื่มกับพวกที่อวดภูมิวางมาด ยกตนข่มท่าน เอะอะโวยวาย หรือดื่มแล้วนิสัยเปลี่ยน
เรากินเหล้ามิใช่ให้เหล้ากินเรา เราดื่มเพื่อผ่อนคลาย ปลดปล่อย และต้องมีสติ"จำเพื่อลืม ดื่มเพื่อเมา เหล้าเพื่อโลก
สุขเพื่อโศก หนาวเพื่อร้อน นอนเพื่อฝัน
ชีวิตนี้ มีค่านัก ควรรักกัน
รวมความฝัน กับความจริง เป็นสิ่งเดียว"
จากรุไบยาท

สมัยวัยรุ่นนั้น พลังวังชาและร่างกายยังฟิตปั๋ง เป็นวัยที่รุ่มร้อนซ่อนเร้น กระฉับกระเฉง

เฮโลไหนไปด้วย ดื่มข้ามคืนอย่างสบาย "ชนแก้ว หมดแก้ว" ไม่มีหวั่น
ค่ำไหนนอนนั้น หรือเหล้าไม่หมดไม่กลับ (เมาไม่ขับ) กลับแท็กซี่
ไม่ว่าจะสาโท กระแช่ เหล้าต้ม เหล้าขาว ยาดอง เบียร์ สุราไทย หรือเหล้านอก...ดื่มหมดบ่ถอย
ส่วนกับแกล้มจะมี ไม่มี หาได้สำคัญไม่ มีก็วิเศษ เพราะแต่ละท้องถิ่นมีเมนูชวนแซ่บ
แต่ถ้ากับแกล้มเปิบพิสดารอย่างพวกเต่า ตะพาบ งู ปลาไหล ฯ ก็ต้องขอผ่านเช่นกัน

วันวัยลุล่วง อายุมากขึ้น พลังถดถอย ร่างกายก็มิอาจยืนหยัดดื่มได้นานเหมือนแต่ก่อน

ภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ วุฒิภาวะ หรือเวลาถูกจำกัดทดแทนด้วยปัจจัยอื่นๆ
ทั้งเหล่ามวลมิตรก็แยกย้ายกันไปตามวิถี บ้างก็มีครอบครัว มีการงานที่ต้องมุ่งมั่นมากขึ้น
กาลเวลาและครอบครัวไกล่เกลี่ยแล้ววาดระบายให้แต่ละคนไปตามเส้นทางที่ควรกระทำ
ชีวิตที่เป็นอยู่ต้องหาเงินเพื่ออนาคต บ้านต้องสร้าง รถต้องซื้อ หนี้สินก็ต้องมี
เรื่องนัดสังสรรค์ เฮฮาปาร์ตี้ จัดเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด ได้ปรับเงินเดือน ได้โบนัส
หรือชักชวนหาสถานที่ดื่มเหล้าพร้อมหน้าพร้อมตาเหล่าสหายกลายเป็นเรื่องยากยิ่ง
บางงาน...อย่างงานแต่งเพื่อน เพื่อนบวช เพื่อนอกหัก เพื่อนถูกหวย เพื่อนเลี้ยง ก็อาจได้พบกันบ้าง
ทว่าก็ยากที่จะได้เจอหน้าเพื่อนครบครันดังอดีต 
คงเป็นเรื่องน่าเศร้า...ถ้าเหล่าผองเพื่อนจะมาเจอกันครบหน้าในวันที่เพื่อนคนใดคนหนึ่งตาย---

เปิดขวด...แล้วมาดื่มกันให้หมดนะ...เพื่อน

เรามิอาจย้อนอดีตแห่งความชื่นมื่นรื่นเริงในวัยหนุ่มสาวได้ฉันใด
เราก็มิอาจรู้ว่าลมหายใจแห่งชีวิตจะยืนยาวได้นานเพียงใดฉันนั้น...

.



 


24 มิถุนายน 2555

Life บางเสี้ยวชีวิตในวันเก่าๆ ๓

ร้านอาหารตามสั่ง--- 

ผมสาบานและสารภาพเลยว่า...
ไม่เคยมีความคิดในสมองที่จะต้องมาลงทุนเพื่อทำอาชีพขายอาหารสักแวบ
จริงๆ ผมตั้งใจมั่นเหมาะว่าอยากจะเปิดร้านขายเสื้อผ้า กางเกงยีนส์ กระเป๋า รองเท้า
หรือไม่ก็พวกของกิฟต์ช็อป และสินค้าแฮนด์เมดมากกว่า
อีกทางเลือกหนึ่งก็คือร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ เปิดร้านเหล้าให้รู้แล้วรู้รอดเลย
แต่ด้วยความรักที่แสนยิ่งใหญ่ อลังการ วิจิตร แสนห่วงใย และบริสุทธิ์ของแม่—
เฮ้อ! พูดถึงแม่แล้ว...
ผมพิมพ์ไม่ออกเลย มันไม่รู้จะเรียงร้อยถ้อยคำจาระไนเช่นไร
ปุบปับผมก็สูญสิ้นประโยคที่จะบอกกล่าวถึงความรักและความห่วงใยที่แม่มีต่อลูก
ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ผมเขียนหรือพิมพ์ต่อไปไม่ไหว...คล้ายนักมวยหมดสภาพก่อนขึ้นเวที

ร้านอาหารตามสั่ง--- ผมค้างคาประโยคตรงนี้ไว้หลายวันทีเดียว
คล้ายคนโง่เขลาอับจนที่เรียบเรียงประเด็นไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นไปในท่วงทำนองใด
เหตุหลักๆ ที่ผมเลือกมาทำร้านอาหารตามสั่งก็เพราะ...เพราะคำเตือนที่หวังดีของแม่นั่นเอง
อย่างน้อยอาหารก็เป็นปัจจัยหลักของการดำรงชีวิต ทุกคนต้องกินข้าว ต้องบริโภคอาหาร
หากให้ไปลงทุนขายเสื้อค้าหรือลงสินค้าพวกกิฟต์ช็อป ยังไงๆ ก็ต้องเสียเงินซื้อข้าวปลาอาหารกินแหงๆ
แต่ถ้าทำร้านอาหารตามสั่ง เราสามารถกินไปในตัวได้เลย ทำเองกินเองไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ
แล้วเผื่อสมมุติถ้าเสื้อผ้าขายไม่ดี ของกิฟต์ช็อปดันขายไม่ออก หรือสินค้าแฮนด์เมดเกิดขายยาก
แม้ว่าสินค้าพวกนี้ไม่เน่าไม่เสีย ทว่าก็ต้องตามยุคสมัย อินเทรนด์ และปรับเปลี่ยนตลอดเทศกาล
โอกาสเห็นกำไรคงหนาวๆ ร้อนๆ ยิ่งทำเลไม่ดีมีหวังเอวังวิเวกจนอาจวอดวายดับวูบโดยง่าย


ขณะที่เงินลงทุนของผมก็จำกัดจำเขี่ย ทั้งต้องคิดหน้าคิดหลังอย่างเจียมตัวที่สุด
จึงจำเป็นต้องฉุกคิดก่อนที่สถานการณ์จะฉุกละหุก กระทั่งทำให้ชีวิตปราชัยเป็นหนี้พันตัว
เมื่อได้รับโอวาทและถ้อยปรารถจากบุพการีที่ทำให้ผมพลันสดับตรับฟังอย่างตรึกตรอง
ในที่สุดแม่ของผมก็เดินทางจากต่างจังหวัดมายังกรุงเทพฯ แล้วก็ปรึกษาหารือกัน
ด้วยความที่แม่เป็นแม่ค้าขายอาหารมาก่อน ทั้งขายข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารตามสั่ง
แม่ล้วนทำมาหมด ฉะนั้นประสบการณ์อันยาวนานตรงนี้ของแม่จึงมีค่ามหาศาลต่อผมในวันนั้น...

เมื่อหัวข้อที่จะเลือกเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง ฉะนั้น... ผมจะขายอาหารไรดีล่ะ?
แล้วอินเทอร์เน็ตก็คือกุญแจแสนไฮสปีดรวดเร็วในการไขหาคำตอบ---
ที่สุด; ผมก็เจอคนที่ลงประกาศเซ้งร้านอาหารตามสั่งเจ้าหนึ่งในราคา ๕ หมื่นบาท
รายละเอียดที่โพสต์ไว้น่าสนใจ เปิดเผย ทั้งบอกให้ไปดูร้านก่อนที่จะตัดสินใจ
ทำเลก็เยี่ยมและใกล้ที่พักผมด้วย มีการการันตีรายได้ต่อวันหลัก ๓ – ๔ พัน
เวลาขายก็บ่ายๆ จนถึง ๔ ทุ่ม บ๊ะ! ไม่ต้องตื่นเช้านี่หวา-ผมชอบ (ลืมคิดไปว่าต้องตื่นเช้าไปจ่ายตลาด)
ผมกับแม่จึงตัดสินใจไปดูร้านฯ และพูดคุยกับเจ้าของถึงเหตุผลที่จะเซ้ง
หลังจากนั้นผมก็ยังแวะเวียนไปสังเกตการณ์ช่วงเวลาที่คนมากินเยอะๆ อีก ๓ ครั้ง
เพื่อความมั่นใจว่าเขาขายได้จริงๆ ขายได้วันละเท่าไร? ค่าเช่า + น้ำ + ไฟ ต่อเดือนตกกี่บาท?
ค่าของสด ผัก และวัตถุดิบต่อวันประมาณไหน? เฉลี่ยเดือนหนึ่งน่าจะกำไรเท่าไร?
และถ้ามีกำไรจริงๆ ไยถึงประกาศเซ้งล่ะ? --- ซึ่งผมก็ได้รับคำตอบจากปากคนเซ้งว่าดูแลไม่ไหว แก่แล้ว
ซึ่งระหว่างนั้นก็มีคนสนใจมาดูร้านฯ อีก ๔ – ๕ เจ้า เสมือนเป็นการโหมไฟให้ผมต้องรีบตัดสินใจเสียที
ผมจะมัวชักช้า นิ่งนอนใจ และคิดมากคงไม่ทันการณ์แน่ สถานการณ์หลายด้านก็เร่งเร้าเสียด้วย
ไม่รู้ว่าคนอื่นที่มาดูหรือคุยกับคนเซ้งจะคิดเห็นประการใดกัน เกิดคนอื่นเซ้งไปก่อนผมล่ะ?

ช่วงนั้นผมยังทำงานประจำอยู่... แม่ก็สนับสนุนเรื่องร้านอาหารที่ไปดูกัน
อีกประเด็นหนึ่งคือแถวนั้นอพาร์ตเมนต์ผุดเป็นดอกเห็ดและพลุ่งพล่านมากมายด้วยนักศึกษา
ทำเล... ถือว่าใช้ได้เชียว ลูกค้าไม่ได้สถิตถาวร (เรียนจบก็แยกย้ายไปตามทางของตน)
จึงหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากัน ซึ่งส่วนใหญ่พวกนักศึกษาคงไม่หุงข้าวหรือทำกับข้าวกินเองแน่
ทั้งวัยเรียนก็ไม่ใช่วัยหารายได้เอง การจะเห็นค่าของเงินย่อมไม่คำนึงหรือคิดมาก
ยิ่งเป็นเรื่องกินย่อมจ่ายได้สบาย... เสื้อผ้าไม่ซื้อไม่เป็นไร แต่ถ้าท้องร้องนี่สิ ต้องกิน...
เมื่อคิดสะระตะถ้วนถี่ ถึงเวลาตัดสินใจเสียที ที่สุดผมก็รับเซ้งร้านอาหารตามสั่งร้านนี้

ด้วยความโลภมาก คิดว่าตัวเองไหว อยากมีรายรับสองทาง และใคร่อยากคืนทุนที่เซ้งเร็วๆ
ผมพลันคิดว่าจะทำงานประจำให้ถึงสิ้นปี เพื่อหวังโบนัสติดปลายนวมบ้าง
ส่วนร้านอาหารฯ แม่ก็อาสาจะดูแลให้ เพราะแม่มีประสบการณ์ตรงนี้ ขณะที่ผมไม่มี

จับปลาสองมือ ช่วงที่ผมเซ้งร้านเสร็จสรรพ ผมก็ยังทำงานประจำ ขณะแม่ไปบริหารร้านฯ
โดยที่ผมจ้างแม่ครัว ๑ คน และเด็กช่วยอีก ๑ คน นี่จึงนับเป็นรายจ่ายค่าจ้างที่ลดทอนกำไร
ที่สุดผมก็ยืนหยัดไม่ไหว ด้วยต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน เลิกงานก็ไปช่วยที่ร้านอาหาร
ส่วนเรื่องไปจ่ายตลาด ตกค่ำก็สำรวจของแล้วจดรายการไว้ และเอาให้คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปซื้อแทน
ขณะเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุดเพราะเป็นช่วงวันที่ขายดี ถือเป็นช่วงที่กอบโกยเงินก็ว่าได้
ฉะนั้นกว่าจะปิดร้านฯ กลับห้อง ทำบัญชี เข้านอน แทบจะเที่ยงคืนหรือไม่ก็ตีหนึ่งตีสอง
จึงเป็นเหตุให้ผมไปทำงานสายบ่อย สมองจึงเบลอๆ ร่างกายก็อ่อนเพลีย หัวใจก็จมละเหี่ย
ไหนผมจะเอาแม่มาลำบากลำบนกับผมอีก ท่านอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดก็ดีๆ เพลินๆ อยู่แล้ว
ทว่านี่ผมกลับเอาแม่มาช่วย เอาท่านมาเหนื่อย ดีหน่อยที่แม่พอมีความสุขยามได้ทำได้ขาย
ผสานกับความรักและความห่วงใยที่มีต่อลูกแย่ๆ อย่างผมด้วยกระมัง ^^

ตลอด ๒ เดือนกว่าที่ผ่านมา... ๓ เดือนกว่าที่ผ่านไป...
การออกมาค้าขายทำให้ผมได้เรียนรู้และตระหนักถึงชีวิตมากขึ้น
โลกในความคิดกับโลกแห่งความจริง มันต่างเวอร์ชั่นกันเลย
เหมือนที่หลายๆ คนว่าไว้เปี๊ยบ ออกมาทำเองนี่แสนเหนื่อย แทบไม่มีเวลาส่วนตัว
บางทีถึงกลับท้อ อยากเลิก และหันไปหาอาชีพอื่นทำด้วยซ้ำ
ครั้นจะถอดใจศิโรราบง่ายๆ ก็เร็วไป ถึงขั้นนี้ต้องลุยให้เต็มที่สักตั้ง ยังไม่ถึงเวลาถอย
ยิ่งบางช่วงที่ยอดขายกลับต่ำลงเพราะปิดเทอม เลยทำให้ต้องคิดหนัก ต้องหาทางประคองตัว
ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า... อยากเลิก อยากเซ้งต่อ
ซึ่งก็ได้แต่คิดและถอดหายใจอย่างเศร้าสร้อย...วังเวง...

ในที่สุดสู้มานะทำร้านอาหารตามสั่งได้เกือบๆ ปี ก็ต้องยอมเซ้งให้คนอื่นไป
แล้วก็กลับไปเป็นพนักงานรับเงินเดือนแบบเก่า- - -

.

22 มิถุนายน 2555

Life บางเสี้ยวชีวิตในวันเก่าๆ ๒

ครั้งหนึ่ง; ผมเคยลาออกมาแล้วตกงานเกือบ ๗ เดือนเศษ
ช่วงนั้นสภาพชีวิตและจิตใจย่ำแย่มาก
แรกๆ ที่ออกงานก็ยังพอดำรงชีพไหว เพราะมีเงินเก็บออมบ้าง
ทว่าค่าเช่าห้อง ค่ากิน ค่าโน้นค่านี่ มันจะอยู่ได้สักกี่เดือนกันล่ะ?
ด้วยความที่มั่นใจตนเองว่ายังไงๆ เดี๋ยวก็ได้งานใหม่แน่ๆ ยังหนุ่มยังแน่นก็ย่อมยังมีโอกาส
แต่สิ่งที่คิดกับโลกความจริงมันต่างกันลิบลับ เผชิญแบบนี้ความมั่นใจอวดดีลดฮวบลงโข
นั่นแหละทำให้ผมตระหนักถึงชีวิตของคนบ้านนอกที่ไม่มีบ้านในเมือง ไม่มีญาติพี่น้อง
ช่วงเวลาที่ไร้งาน เงินร่อยหรอ ต้องกระเหม็ดกระแหม่ อดมื้อกินมื้อ
บางทีก็ไปอาศัยฝากท้องกับเพื่อนฝูง โชคดีก็ได้เมามายบ้าง
มันเป็นช่วงที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า อืดอาด กลัดกลุ้ม และเศร้าสร้อย…

สมัยนั้น...โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟูอลังการและแพร่ลุกลามดังสมัยนี้
ฉะนั้น แต่ละวันต้องไปร้านหนังสือแล้วยืนเปิดอ่าน และดูพวกนิตยสารสมัครงานต่างๆ
เจอะเจองานที่สนใจก็จะจดๆ แล้วใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโทร.ไปสอบถามก่อน
ตอนนั้น...ไม่ยึดติดแล้วว่าเงินเดือนเท่าไหร่ บริษัทจะใกล้จะไกล ถ้าได้งานจริงๆ ค่อยย้าย
หากบริษัทใดยังรับสมัครอยู่ก็เดินทางไปสมัครงานทันที ไม่อยากปล่อยตัวเองให้ว่างให้เปล่าดายไร้ค่า
คนตกงานนี่ช่างมีเวลาว่างมากมายให้ใช้จ่ายและพร่ำเพ้อจริงๆ มีเวลาถึงขั้นสมเพชเวทนาตัวเองด้วยซ้ำ
ครั้นว่างมากๆ เดี๋ยวพลอยฟุ้งซ่าน จิตเตลิด ทุกข์เทวษ และใบหน้าดูแก่ชราก่อนวัย
หลังจากสมัครงานเสร็จก็กลับมาจมจ่อมอยู่ในห้องแล้วคอย คอย คอย และคอย...
รสชาติของการคอยนี่เหมือนรอฝนตกโปรยปรายในทะเลทรายซาฮาร่าเลย
คอยว่าเมื่อใดจะมีบริษัทไหนโทร.มานัดให้ไปสัมภาษณ์บ้าง
หรือเรารับคุณทำงานค่ะ ^_^
ยามเสียงกริ่งโทรศัพท์ในห้องดังคล้ายเสียงจากสรวงสวรรค์ยังไงยังงั้น...

ช่วงตกงาน...เคยอดมื้อกินมื้อ พวกไข่ไก่ ปลากระป๋อง 
ไวไว มาม่าคืออาหารหลักเลย
เคยขายทีวีขายเครื่องเสียงในห้องสนนราคาถูกๆ 

จำนำทองที่มีโดยไม่ไปถ่ายถอนออก
เคยรับจ้างแจกใบปลิว เคยช่วยหาเสียงเลือกตั้งส.ส. 

เคยแม้นกระทั่งผู้หญิงทำงานกลางคืนให้เงินใช้
เคยอาบน้ำให้สุนัขแล้วพามันไปเดินเล่นเพื่อแลกกับเงินเล็กน้อย
และเคยทำให้แม่ร้องไห้...
ซึ่งน้ำตาแม่นั้นมันทำให้ผมเสมือนลูกอกตัญญู ไม่เอาไหน
ผมไม่น่ามาเกิดเป็นลูกแม่เลย...ลูกที่ไม่เอาไหน...


ช่วงปี ๒๕๔๗ –  ๒๕๕๑
เป็นช่วงที่ดำรงสถานภาพพนักงานออฟฟิศของบริษัทหนึ่ง
ซึ่งอายุก็แก่ขึ้นกับความคิดที่มันรอบคอบขึ้น อารมณ์ก็สุขุมขึ้น ด้านชาขึ้น                          
ไม่บุ่มบ่ามด่วนใจร้อน มองปัญหาอย่างมีความหวัง
ตกผลึกกับข้อเท็จจริงเบื้องหน้า และวางแผนชีวิตเงียบๆ
ทั้งเริ่มมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่มองแบบที่เราอยากให้เป็น…
ซึ่งการเป็นมนุษย์เงินเดือนรอบนี้คือฐานที่มั่นสุดท้ายที่จะอยู่ แต่หาใช่การลงหลักปักฐานยาว
เพราะที่ทำนี่เป็นบริษัทเล็กๆ พนักงานแค่ไม่กี่คน เงินเดือนเพียงหมื่นกว่ากลางๆ
คิดถึงประโยคนี้จัง "คนจนทำงานเพื่อเงิน แต่คนรวยใช้เงินทำงานให้- - "

ขณะที่เรื่องราวความรักก็ไม่ง่ายดายและสวยเพริศเหมือนนวนิยายโรมานซ์ปกหวานแหวว
ที่ผ่านมา... ตั้งแต่เรียนจวบกระทั่งจบแล้วทำงาน ทำงาน และทำงาน
ผมละเลงชีวิตไปกับความสำมะเลเทเมา เสเพลลุ่มหลงความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว                   
หลงใหลคลั่งไคล้ความสุขแสนสั้น เพลิดเพลินกับมายาภาพ วัตถุนิยม หลงลืมตัวลืมรากเหง้า
ไม่เคยคิดเก็บเงินจริงๆ จังๆ ไม่วางแผนอนาคต ไม่ทำประกันชีวิต
ไม่มีการแบ่งเงินไปลงทุนในกองทุนและหุ้นต่างๆ ขอโบยบินอย่างอิสระและใช้ชีวิตให้คุ้มเป็นพอใจ
เรื่องผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เลิกคิดสิ้นเชิง เงินเดือนเพียงหมื่นกว่าๆ ผ่อนคอนโดถูกๆ ก็เยี่ยมแล้ว
ฉะนั้น ; เงินเดือนออกทีจึงมีแต่จะหาแหล่งเที่ยว หาร้านเหล้าดื่มกับเพื่อนๆ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
ครั้นมีหญิงสาวมาอยู่ร่วมห้อง แทนที่จะคิดสร้างและวางเป้าหมายชีวิตคู่ร่วมกัน
แรกๆ ก็ดี หวานชื่น อิ่มอุ่น ห่วงใย มีสุข เมื่อผ่านๆ ไปก็จืดจาง ไม่เข้าใจ หลายอย่างไม่ตรงกัน
สุดท้ายรักก็ไปไม่รอด ต่างต้องแยกทางกัน น้ำตารินไหล ปวดร้าว หัวใจสลายลาญ.....

เงิน... คำๆ นี้เสมือนมีอำนาจสะกดจิตวิญญาณให้พร้อมยอมพลีและจำนนหมอบราบ
แน่ว่าหนทางแห่งการได้เงินล้วนมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่ว่าใครจะมีความสามารถขนาดไหน
ทั้งคนส่วนใหญ่บากบั่นทำงานก็เพราะต้องการเงิน ปรารถนาใคร่มั่งมีทรัพย์สินศฤงคาร
โลกทุนนิยม โลกบริโภคนิยม โลกไซเบอร์ หรือโลกไหนๆ ก็ยากปฏิเสธเงิน
บ้างว่า... เงินซื้อคนได้ ซื้อใจคนก็ยังได้ ซื้อเรือนร่างคนยิ่งง่าย หรือจะซื้อชีวิตคนก็ยังไหว
ฉะนั้นการซื้อเสียงจึงเสมือนเรื่องธรรมดาๆ พื้นๆ เมื่อเทศกาลเลือกตั้งมาเยือน
เงินอาจบันดาลบางสิ่งบางอย่างให้มนุษย์ยอมขายตัวและขายจิตวิญญาณ
เงินอาจเป็นบันไดต่อยอดเพื่อเติมเต็มหน้าตาและฐานะทางสังคม
เงินไม่เข้าใครออกใคร ทั้งเงินอาจทำให้มีบ้านใหญ่โต มีรถยนต์ราคาแพงระยับ
แต่เงินก็ยังทำให้มนุษย์ประหัตประหารกัน แก่งแย่งชิงดีกัน และเอาเปรียบกันอย่างไม่อาย
บางคนจึงเลี้ยงลูกด้วยเงิน อำนวยลูกด้วยความสะดวกสบายมากกว่าความรักและเวลา
ทว่ากลับมีบางคนที่เห็นค่าของเงิน ใช้เงินเป็น ที่สำคัญยังมีวินัยในการใช้เงิน....

“ดูแต่หอยซิ... ไม่มีมือไม่มีตีน มันยังหากินเองได้เอง...
นับประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ ก็อายหอย...”  ปู่เย็นว่าไว้
ประโยคง่ายๆ ธรรมดาจากเฒ่าทระนงผู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทั้งไม่เอาเปรียบใคร
คนเรานี่แสนแปลก มหัศจรรย์นัก ดั่งชีวิตของปู่เย็นที่ยามมีลมหายใจ
ตะแกก็อยู่แบบสามัญ พอเพียง ใช้ชีวิตกินอยู่นอนในเรือ บ้างก็ลอยล่องไปตามแม่น้ำเพื่อหาปลา
ได้ปลาก็เอาไปขายโดยไม่ต้องใช้หัวการค้าแสวงหากำไรเลย และไม่เคยกินของใครฟรีๆ
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ยากจะหาใครเลียนแบบ หรือกระทำตาม...ในใจปู่เย็นรู้สึกไงนะ?
ทว่ายามที่ตะแกสิ้นลม พิธีศพของคนเล็กๆ ผู้ทระนงคนนี้กลับยิ่งใหญ่ทั้งผู้คนคับคั่ง
ขณะที่บางงานศพของคนผู้มีมากกว่า รวยกว่า
ครั้นถึงยามตายอาจเงียบเหงาและไร้ผู้คนกล่าวขาน...

ปู่เย็น เฒ่าทรนง
............

ที่สุดผมก็สมัครใจลาออกจากงานประจำอีกรอบ…
ทั้งความคิดและความรู้สึกก็ผสานผสมไปต่างๆ นานา
เวลาร่วมสิบกว่าปีที่ก้มหน้างุดๆ งกๆ อีหลุกขลุกขลุ่ยทำงาน
กระทั่งอายุล่วงสามสิบกว่าๆ ชีวิตช่างอีหลุยฉุยแฉกและยากหาแก่นสาร
บางคราต้องค้อมหัวยอมรับคำตำหนิติเตียนที่ลึกๆ แล้วความผิดแค่ขี้ปะติ๋ว
บางทีต้องโอนอ่อนคล้อยตามเพื่อให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานที่แสนงี่เง่าไม่เข้าท่า
ผสานกับความที่ผมเริ่มอิ่มตัว เบื่อหน่าย จำเจ ไร้พลังสร้างสรรค์ หมดไฟทำงานดื้อๆ
กอปรกับต้องตื่นแต่อรุณรุ่งเพื่อกระวีกระวาดไปตอกบัตรให้ทันเวลาเข้างาน
เฉลี่ยเฉพาะเวลาที่ต้องกระหืดกระหอบเร่งรีบออกจากที่พักไปยังออฟฟิศ
และจากออฟฟิศกลับที่พักก็ตกร่วมๆ ๔ – ๕ ชั่วโมง/ต่อวัน (ไม่อยากคิดเป็นเดือน!)
ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องห้อยโหนหรือไม่ก็สัปหงกบนรถโดยสารประจำทาง รถตู้ หรือรถไฟใต้ดิน
โอ้! เวรกรรมปางไหนหนอที่ผมต้องใช้เวลาเดินทางแสนบน่าเบื่อขนาดนี้---
สูญเสียทั้งเวลา ทั้งเงินค่ารถ ที่แย่ที่สุดคือสุขภาพจิตพลอยเสียไปด้วย

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมตัดสินใจลาออก ก็เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้เข้ามาทำงานบ้าง
จะไปไยไพหรือพิรี้พิไรกับตำแหน่งงานที่ไม่จีรังยั่งยืนทำไมกัน---
คนเก่าไป คนใหม่มา ตลอดจนคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ฯ
ถ้าเราไม่ได้นั่ง วันหนึ่งก็ต้องมีคนอื่นมานั่งหรือจับจองเป็นเจ้าของอยู่ดี
มันเป็นวัฏจักรกงล้อที่หมุนๆ ไป ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าสถาพรหรอก
สุดท้ายคือวันเวลาของผมสำหรับการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นอันตรธานเรียบแล้ว
ในเมื่อใจมันหมดพลัง เหนื่อยล้า หน่ายแหนง ทั้งลึกๆ ก้นบึ้งก็ร้อนรุ่มและเรียกร้องให้เลือกเสียที
ครั้นจะให้ฝืนทนทำงานต่อไปก็เป็นการหลอกตัวเองเปล่าๆ
ทั้งเป็นการเอาเปรียบบริษัท นายจ้าง และเพื่อนร่วมงานอย่างน่าละอายยิ่ง...

แม้นลึกๆ ในใจ... ผมจะรู้สึกและตระหนักเช่นนั้น
แต่จู่ๆ จะให้วู่วามผลีผลามลาออกแล้วมานั่งตกงาน ว่างเปล่า หงอยเหงา
หรือถอนหายใจทิ้งไปวันๆ โดยที่ไม่ก่อเกิดคุณค่าอันใดๆ แก่ชีวิต
ที่สำคัญผมตั้งมั่นแน่วแน่ว่าจะไม่หวนกลับเข้าสู่ระบบการเป็นมนุษย์เงินเดือนอีก
ผมจึงจำเป็นต้องใคร่ครวญหาทางออก ไตร่ตรองถึงหนทางเป็นเจ้านายตัวเอง
ครุ่นคิดว่าจะประกอบอาชีพเช่นไร เพื่อให้มีรายได้ประทังชีวิตและอยู่รอดได้
เพราะรายจ่ายต่อเดือนนั้น... มันฉายชัดแจ่มแจ้งและคอยเตือนกระตุกเสมอ
เรียกแบบโก้ๆ เจือดัดจริตนิดๆ ก็คือภาระหรือความรับผิดชอบนี่แหละ...

ที่สุด; ผมจึงวางแผนการลาออกอยู่เงียบๆ  แล้วหมั่นท่องเว็บต่างๆ เพื่อหาความรู้
ดูช่องทางหาเงิน ศึกษาคนที่เคยออกมาค้าขาย พินิศทำเล คำนึงถึงต้นทุน
กล่าวได้ว่าผมล็อกออนเข้าอินเทอร์เน็ตที พลันต้องอ่านโน่นอ่านนี่
แวบไปครูพักลักจำเว็บหนึ่ง แล้วคลิกพรวดไปตะลึงลานตาลุกวาวกับตัวเลขรายได้อีกเว็บหนึ่ง
จากนั้นก็หวาดหวั่นแลหมองหม่นกับคนที่ทำมาค้าขายขาดทุนอีกเว็บหนึ่ง---

ช่วงที่ตัดสินใจว่าจะลาออกเพื่อสุ่มเสี่ยงหาอาชีพอิสระทำนั้น
นับว่าเป็นห้วงจังหวะที่ต้องคิดหนัก ประเมินความเป็นไปต่างๆ สารพัด
บางคราถึงครั้นต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “โอ้! เราคิดดีจริงๆ แล้วหรือ?”
“นี่เป็นการเดิมพันชีวิตทั้งชีวิตเลยนะ” และ “ถ้าพลาด...จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย?”
ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ามัวลังเล ปอดแหก ยึกยื้อ ปริวิตก ขลาดเขลา
กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด หวั่นในสิ่งที่ยังไม่ลงมือทำ อิดออดและอ่อนแอ
ชีวิตนี้คงต้องเป็นลูกจ้างต่อไป หัวใจก็ถูกพันธนาการเรื่อยไป....

.

21 มิถุนายน 2555

Life บางเสี้ยวชีวิตในวันเก่าๆ

สารภาพตรงๆ ว่า บทความชิ้นนี้ ผู้เขียนเคยบันทึกลงในบางบล็อกไว้แล้ว
แต่ด้วยความเกียจคร้านและเมามายมากเกิน จึงไม่ได้อัพเดทบล็อกแต่อย่างใด
เขียนแล้วก็ทิ้งแบบไม่เหลัยวแล ปลีกตัวออกห่างจากอินเทอร์เน็ต
เลยทำให้บล็อกที่เคยสมัครไว้ครั้นกระโน้นไร้ความเคลื่อนไหว
หยากไย่เยอะแยะ ยุงบินว่อน และรกร้างว่างเปล่าไปโดยปริยาย

กระนั้น ผู้เขียนก็ยังให้รู้สึกชอบท่วงทำนองสมัยที่ตัวเองริเริ่มหัดเขียนบล็อก
ตอนนั้น ร่ำๆ ว่าจะศึกษาการทำ Blog ให้เป็นเรื่องเป็นราวจริงจังสักที
ทว่าสุดท้ายก็ปล่อยปละละเลยด้วยเหตุผลและข้ออ้างสารพัด
ซึ่งตอนนี้ก็หันมากระตือรือร้นและวาดหวังว่าจะเขียนบล็อกให้ต่อเนื่องสักตั้ง

เอาละ ขอเสนอบทความเก่าๆ มาควบรวมไว้ในบล็อกนี้เพื่อเป็นบันทึกแห่งชีวิต พร้อมกับ Edit บ้าง

***


ทุกชีวิตย่อมมีการเริ่มต้นเสมอ มีความเคลื่อนไหวไปตามกาลเวลา
ดั่งสัจธรรมที่ว่า...เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นแล
เรามีชีวิตเพื่อใช้ชีวิต เพื่อเรียนรู้ความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง
ทั้งชีวิตก็ย่อมผ่านประสพทั้งสุข ทุกข์ เหงา เจ็บปวด รื่นเริง ร้องไห้ และหัวเราะ
เราดำรงอยู่ในปัจจุบัน โดยมีอดีตให้ย้อนระลึก ขณะอนาคตยากแท้หยั่งรู้ว่าจะเป็นฉันใด...

ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปมาก สิ่งอำนวยความสะดวกสบายก็มีมากขึ้น พัฒนามากขึ้นไปตามเวลา
อานุภาพและพลังของเทคโนโลยีก็แสนเย้ายวนยากปฏิเสธได้ลง
มนุษย์จึงต้องปรับตัวและจิตใจเพื่อตามให้ทันความเจริญก้าวหน้าที่เปลี่ยนแปลง
เปลือยกาย เปิดหัวใจ ปล่อยความคิด เตรียมรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อเท่าทันอนาคต
เท่าทันแต่อาจมิใช่เท่าเทียม... เพียงแค่เท่าทันเพื่อจะได้เข้าใจอย่างตระหนักชัด
เผื่อว่าเราจะได้สบายใจขึ้นในหนทางที่ก้าวเดิน... มั่นใจขึ้นในทิศทางที่เลือก...

ท่ามกลางสังคมที่ซับซ้อน เร่งรีบ แข่งขัน หรือแลดูโหดร้ายเสแสร้ง
ขณะที่ความไร้เดียงสาก็อาจถูกฉาบแต้มด้วยความเห็นแก่ตัว ความโลภมากของผู้คน
เราอาจเป็นคนแปลกหน้าในสังคมที่ฟุ้งเฟ้อ แดกด่วน และทันสมัย
เราอาจเป็นสามัญชนที่ขลาดเขลาเรื่องเทคโนโลยีและซื่อบื้อในความรัก ความงาม หรือความจริง
ทว่าที่สุดชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างยากหลีกเลี่ยง...

ครั้งหนึ่งของชีวิต...ผู้เขียนได้ตัดสินใจลาออกจากพนักงานกินเงินเดือน
ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่เก็บกดกล้ำกลืนมาพอสมควร
ชีวิตคนเราก็มีจังหวะของมันเอง มีทางเดินที่วาสนาลิขิตกำหนดไว้

ซึ่งอาจมีโชคชะตาคอยให้ท่วงทำนองบรรเลงเป็นแนวทางไปสู่จุดหมายที่ฝันใฝ่

ชีวิตคนทำงานออฟฟิศนี่...
มันเหมือนเรือลำน้อยลอยล่องในมหาสมุทรเวิ้งว้าง
ยามคลื่นสงบ แดดอุ่น ลมอ่อน เรือก็ลอยไปเอื่อยๆ อ่อนโยนประดุจนักพรตบำเพ็ญเพียร
ยามพายุคลั่งอาละวาด ฝนกระหน่ำซัด คลื่นโหมสาดแรง ฟ้ามืดอนธการ
เรือก็โคลงเคลง ล้อลิ่ว แล้วฝ่าทะยานทายท้าประหนึ่งโจรสลัดแห่งท้องทะเล
ไม่รู้ว่า... เรือน้อยลำนี้จะล่องไปถึงชายฝั่ง หรืออับปางสู่ก้นลึก!!!

...เคยนึกย้อนภาพสมัยตอนเป็นนักเรียน นักศึกษา
ชีวิตตอนนั้นกับตอนนี้ช่างแตกต่างอย่างยากอรรถาธิบายความนัยใดๆ
วัยเรียน... เป็นชีวิตที่สนุกสนาน ครื้นเครง สรวลเส มีเพื่อนเยอะมากหน้าหลายตา
เป็นวัยแสวงหา เดินทาง ค้นคิด เผชิญ และลองผิดลองถูกร่ำไป
เป็นวันวัยที่ไม่ต้องห่วงหาหรือพะวักพะวงเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้หนักสมอง
ไม่ต้องนั่งกลัดกลุ้มเรื่องรายได้ไม่พอใช้ เรื่องหนี้สินจิปาถะ เรื่องสารเพที่พลาดพลั้ง
ไม่ต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากครุ่นคิดเรื่องการสร้างชีวิต ครอบครัว หรืออนาคต

ทว่า ณ ตอนนี้...อายุ ๓๐ กว่าๆ กับชีวิตและจิตใจที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน
จากเด็กชนบทที่มาเล่าเรียนจนจบปริญญาตรีในเมืองหลวงแสนศิวิไลซ์
ขณะความรักในช่วงหนุ่มสาวล้มเหลวซ้ำเล่า พบแล้วพราก จากแล้วเจอ
รักในวัยเรียนทำให้รู้คุณค่าอีกแบบหนึ่ง รักในวัยทำงานทำให้เข้าใจความหมายอีกแบบหนึ่ง
กระนั้น ที่สุดแล้วรสชาติแห่งการต้องจากลากันก็ประทับรอยแผลในใจให้ได้ขบคิด--

เรียนจบก็ต้องทำงาน... ช่างเป็นสัจธรรมที่มิอาจปฏิเสธ หรือหาเหตุหลบเลี่ยง
ได้ฤกษ์ได้เวลาเดินสมัครงานเสียที แน่แท้ว่าต้องหางานทำในเมืองหลวงนี่แหละ
แสง สี เสียง เทคโนโลยี อิสตรี และผู้คน เหมือนม่านหมอกที่น่าหลงใหลเสียนี่กระไร
นับเป็นโชคดี (หรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ไม่กลับไปหางานทำที่บ้านนอกให้รู้แล้วรู้รอด)
จึงดุ่มๆ ดุ่ยๆ ไปสมัครงานบริษัทแรกก็ได้งานเลย
สตาร์ทเริ่งงานทันที ๗,๐๐๐ บาท ตอนนั้นปี พ.ศ. ๒๕๓๙
เอาละสิ เงินเดือน ๗ พัน ไหนจะต้องเช่าห้อง ค่าน้ำ ไฟ ค่ากินอยู่ และค่ารมณียสถานยามราตรีฯ
อันดับแรกต้องหาห้องเช่าที่ใกล้ๆ ออฟฟิศ เอาแบบที่เดินไปทำงานน่าจะประหยัดเงินและเวลา
ผมมันเป็นคนประเภทชอบช่วงเวลาค่ำคืน รักการนอนดึกเป็นกิจวัตร และไม่อยากตื่นแต่ไก่โห่
ที่สำคัญไม่ต้องเสียสุขภาพจิตในการถ่อสังขารโหนรถเมล์ไปทำงาน ทั้งประหยัดเงินอีกด้วย
กรุงเทพฯ เมืองอมรรัตนโกสินทร์จะปีไหนๆ รถก็ติดเป็นแช่แป้งตังเม…

นั่นคือจุดเริ่มของการเป็นลูกจ้าง...
ซึ่งหลังจากนั้นก็เปลี่ยนงานตามทัศนะและจิตใจเรื่อยมา
**เบื่อเพื่อนร่วมงาน พวกประจบ พวกแทงข้างหลัง... ลาออก
**เซ็งเจ้านาย ระอาระบบงาน ใช้งานเยี่ยงข้าทาส... ลาออก
**อารมณ์ศิลป์บังเกิด อุดมการณ์บรรเจิด ฮึกเหิม... ลาออก
**หยุดวันอาทิตย์วันเดียว เดินทางไกล (ขี้เกียจย้ายห้องด้วย)... ลาออก
**ทะเลาะกับหญิงสาว อิดหนาคลางแคลงใจ เลยประชดโดย... ลาออก (???)
**ทำงานดี ทุ่มเท ความคิดใหม่ๆ เปล่งประกาย กล้านำเสนอ
เจ้านายปลื้ม เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกฯ แต่เป็นการก้ามข้ามคนเก่าๆ อายุมากกว่าอีกหลายคน
และให้หน.คนเก่ามาเป็นผู้ช่วย ซึ่งทำให้รู้สึกอีหลักอีเหลื่อ
คนเก่าชอบทำงานแบบเดิมๆ วัฒนธรรมครึๆ...ก็ลาออกอีก

สิริรวมๆ เป็นการย้ายบริษัทได้ ๖ บริษัท (คงแบบนี้กระมังที่ชีวิตตอนนี้ลมเพลมพัด)
ซึ่งการลาออกจากงานเป็นการใช้อารมณ์ ความคิด เหตุผลตนเอง และอุดมการณ์ล้วนๆ
ก็คนมันวัยหนุ่ม พลังมันเยอะ ทิฐิ เอาแต่ใจตน ไม่สนเรื่องเงินเดือน เรื่องตำแหน่งแห่งหน
ไม่ถูกใจใคร ไม่ชอบบรรยากาศการทำงานที่แย่ๆ ไร้สีสัน
เกลียดพวกต่อหน้าอย่างแล้วลับหลังอย่าง ก็หน้าไหว้หลังหลอกดีๆ นี่แหละ
รู้สึกโดนเอาเปรียบอย่างแรง ทำดีเจ้านายไม่เคยชม ทำพลาดทำผิดเพียงนิดเป็นเรื่อง!!
หน่ายเอือมพวกใช้ลิ้นทำงานมากกว่าการกระทำหรือใช้สมอง... ก็ลาออกตะพึดตะพือ

วัยหนุ่มช่างคึกคะนองและอัตตาจริงๆ 

.

20 มิถุนายน 2555

Facebook มีหรือยัง?

พักการศึกษาเรื่องการใช้งาน Blog
และการสร้างรายได้ออนไลน์เกี่ยวกับ Affiliate Program 
เพื่อรีแล็กซ์และผ่อนคลายบ้าง ไม่ไหว...ไม่ไหว...สมองมึนตื้อ บีบคั้น และเออเรอร์
ต้องทำการรีสตาร์ทใหม่ เลยชะแวบไปดูวิธีการสมัคร facebook บ้าง
เพราะพรรคพวกชอบคะยั้นคะยอให้เปิดเฟซบุ๊คเรื่อย
ทั้งคนรู้จักก็มักถามว่า "มีเฟซหรือยัง?" "ทำไมไม่สมัครเฟซบุ๊คล่ะ?"

ผู้เขียนก็ผลัดผ่อนบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย เพราะไม่อยากให้ชีวิตสาละวน
หรือเสพติดการออนไลน์ให้มากเกิน แค่ MSN ยังต้องหลบออฟไลน์เลย
เมื่อเปิดสถานะออนไลน์ไว้ ถ้ามีใครทักมาก็ต้องตอบตามมารยาทที่พึงกระทำ
ซึ่งผู้เขียนมักแสดงสถานะ MSN แดงๆ ไม่ว่าง ยุ่งๆ ไว้ก่อน (แฮ)
แถมผู้เขียนยังติดพันเล่นเกมส์สงครามอย่างทราเวียน (Travian)
เกมส์อะไรนี่เล่นกันเป็นปี (ฮา) ยังไม่พอ...ไหนจะจับจดจับเจ่าดูกราฟเพื่อเทรด Forex อีก
ฟอเร็กซ์นี่ต้องให้ความสำคัญมากเลยเพราะเกี่ยวกับเงิน เปิดออเดอร์พลาดก็อาจเสียเงินโดยง่าย
หรือถึงขั้น "ล้างพอร์ต" เชียว

เดี๋ยวนี้ ผู้เขียนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสถิตหน้าจอสี่เหลี่ยมมากขึ้น...มากขึ้น
ทุกวันนี้กลับกลายเป็นอ่านหนังสือกับหนังสือพิมพ์น้อยลง เจอผู้คนน้อยลง...
ขณะหันไปเสพข่าวสารเรื่องราวต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
โทรทัศน์กับเครื่องเล่น DVD ก็แทบไม่ได้เปิดใช้งาน เพราะสามารถหาดูหาฟังในอินเทอร์เน็ตได้ง่าย 
กระทั่งเขียนจดหมายหรือจดบันทึกก็ลืมเลือนเสียสิ้น ทั้งมือก็จับดินสอและปากกาน้อยลง
ด้วยเขียนอีเมล เขียนบล็อก หรือไปแสดงความคิดเห็นในกระทู้และเว็บบอร์ดต่างๆ ได้

สมัยนี้ เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลและทะลุทะลวงไปถึงแทบทุกที่
เรียกได้ว่าก้าวตามติดชีวิตเราไปแทบทุกแห่งยังกับเงา ตามยันไปถึงห้องนอน ห้องน้ำ
ยิ่งในเมืองหลวง เหลียวซ้ายแลขวาไปทางไหนก็จะพานพบผู้คนจำนวนหนึ่ง
ต่างก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือบ้าง เล่นไอโฟน ไอแพด ไอพอด พิมพ์บีบี 
เสียบหูฟังเพลง เล่นเกมส์ แชทโปรแกรมโน่น สนทนาโปรแกรมนั่น
หรือจะแชร์ความคิดเห็น รูปภาพ และคลิป ผ่าน facebook อย่างสนุกสนานเพลินอุรา

ยุคนี้ ความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว ความสดใหม่
และการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ให้คนอื่นๆ ได้รับทราบทั่วถึง
กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว โลกไซเบอร์ได้เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน
โซเชียลเน็ตเวิร์กได้สำแดงบทบาทและพลังให้ประจักษ์แจ้งอย่างทรงอานุภาพ
ซึ่งส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบต่อคน สังคม และโลก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
โดยที่เราในฐานะผู้ใช้มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเลือกว่าต้องการแบบไหน
หวังผลเช่นไร ต้องการสิ่งใด และจะใช้งานเพื่ออะไร

Open Facebook หลังจากที่อิดออดเอื่อยเฉื่อยไม่อยากสมัครเฟซบุ๊ค
ในที่สุด ผู้เขียนก็มิอาจทนกระแสความแรง ความอยากรู้ และความจำเป็นได้
จึงลงทะเบียนสมัคร Facebook เหมือนคนอื่นๆ บ้าง เปิดใจเพื่อสัมผัสสิ่งใหม่ๆ
ด้วยอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ทำไมใครๆ ก็กล่าวถึงกันนักหนา บางคนถึงกับติดงอมแงม

...ในสังคมต่างประเทศมีงานวิจัยระบุว่าสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์
ผู้ใช้ไม่ว่าหญิงหรือชายมีโอกาสจะกลับไปติดต่อกับแฟนเก่า
ซึ่งบางคนก็แค่พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบ บางคนก็ติดต่อกันลับๆ 
จนทำให้เกิดปัญหาบานปลาย และท้ายที่สุดคู่สามีภรรยาก็หย่าร้างกันถึง 30%

ดร.จิตรา ดุษฏีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ 
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)  กล่าวไว้ว่า
"ให้ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคู่สามีภรรยา หรือพ่อแม่ลูก 
ต้องสร้างความสัมพันธ์กันแบบสดๆ พูดคุยกัน และอยู่กับปัจจุบัน
สร้างอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นจริงขึ้นมา สนใจบุคคลที่อยู่ใกล้ตัวเราให้มากกว่าบุคคลที่อยู่ไกลตัว
ซึ่งอาจจะไม่มีความสำคัญกับเราเลยก็ได้  มีคนจำนวนไม่น้อยมีความสุขและพูดคุยกับเพื่อนใหม่
แฟนเก่าในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก เราสร้างขึ้นมาแบบฝันๆ จริงบ้าง ฝันบ้าง
ทำให้ตัวเองดูดีบ้าง การสร้างความรู้สึกไม่ได้สร้างขึ้นจากความเป็นจริง
เราสร้างความรู้สึกจากความคิด แต่ไม่ได้สร้างอารมณ์ความรู้สึกจากของแท้ที่เรามีอยู่ในตอนนั้น
หรือรู้สึกอยู่ในขณะนั้น แม้เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ จะทำหน้าที่เสมือนไดอารี่ส่วนตัว
แต่มันก็เป็นไดอารี่สาธารณะ บุคคลในเครือข่ายสามารถเข้ามาดู
และเห็นเราพูดคุยกับใครต่อใครได้ตลอดเวลา การพูดคุย การใช้คำพูดจึงต้องระมัดระวัง
และไม่ควรจะให้เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตจนไม่เล่น
หรือไม่เข้าไปทักทายเพื่อนๆ แล้วเกิดความหงุดหงิด หรือไม่มีความสุข
เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังมีอาการติดสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก"

.


19 มิถุนายน 2555

Proofreader การงานที่โหยหา

รับจ้างพิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์) โหยหากลิ่นน้ำหมึก

ขอพื้นที่ส่วนตัวเล็กน้อยเพื่อหารายได้ในสิ่งที่ผู้เขียนถนัด
เผื่อมีบริษัท โรงพิมพ์ สำนักพิมพ์ หรือท่านใดสนใจอยากหาคนมาช่วยปรู๊ฟหนังสือภาษาไทย
โดยสามารถรับงานกลับมาทำที่บ้าน (จริงๆ ต้องที่ห้องน่ะ เพราะผู้เขียนอาศัยอยู่คอนโดฯ)


ผู้เขียนบล็อกมีประสบการณ์การทำหนังสือมาร่วม ๑๕ ปีกว่าได้
ผ่านทั้งงานกองบรรณาธิการ เคยเป็นบรรณาธิการในช่วงหนึ่ง
เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษรมาระยะหนึ่ง
ชีวิตการงานวนว่ายอยู่กับการทำหนังสือและกลิ่นหมึก
อ่านและพิสูจน์อักษรหนังสือมานับไม่ถ้วน
ปรู๊ฟงานมาแทบทุกแนว (เปลี่ยนงานหลายที่)
ครั้นเวลาได้รับมอบหมายงานในแนวที่ชอบอย่างแฟนตาซี
สืบสวนสอบสวน กำลังภายใน โรมานซ์ นวนิยาย หรือแนวบริหาร
ก็มักมีความสุขใจเสมอ แต่ก็เปิดกว้างที่จะพิสูจน์อักษรในแนวอื่นๆ เช่นกัน
เพราะ "การอ่านคือความรู้" ที่ไม่สิ้นสุดและไร้ขอบเขต

ยามได้จ่อมจมจดจ่ออยู่กับหน้ากระดาษที่ตัวอักษรเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
ได้สัมผัสอาร์ตเวิร์กก่อนจะพิมพ์เป็นหนังสือ ได้ปลดปล่อยจินตนาการไปกับเรื่องราวนั้นๆ
ได้ฝึกฝนสมาธิในการคิดวิเคราะห์ว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหรือไม่ และแน่นอนว่า...
ได้เวลาจับผิดหรือหาคำผิดแล้วทำการแก้ไขให้ถูกต้องโดยพลัน
ยามนั้นผู้เขียนบล็อกมักเกิดความสบายใจและมีความสุขเสมอ
การได้ปรู๊ฟงานก็เสมือนการได้อ่านหนังสือสักเล่มโดยไม่ต้องควักเงินซื้อมา
หากแต่เป็นหนังสือที่ชอบเป็นการส่วนตัวก็ต้องซื้อหามาเก็บไว้

หน้าที่ของพิสูจน์อักษร (Proofreader) นั้น
ไม่น่าจะใช่แค่การตรวจสอบว่าหนังสือเล่มนั้นๆ มีคำผิดที่ไหนบ้าง ตรงไหนควรเว้นวรรค
ตรงไหนประโยคควรติดกัน เพราะงานพิสูจน์อักษรต้องช่วยเหลือบรรณาธิการหรือฝ่ายอาร์ตเวิร์กได้
โดยเฉพาะหนังสือที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาแปลเป็นภาษาไทย
งานของฝ่ายปรู๊ฟต้องช่วยเสริมสนับสนุนกองบรรณาธิการอย่างยิ่ง
 เพราะผู้แปลอาจแปลต้นฉบับตกหล่น หรือบรรณาธิการอาจขัดเกลาสำนวนเพี้ยน
เนื้อความไม่สอดคล้องกัน สรรพนามใช้ไม่เหมือนกัน เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่นโยบายของสำนักพิมพ์หรือการทำงานของบรรณาธิการด้วย
เพราะบางแห่งนั้น หน้าที่ฝ่ายปรู๊ฟคือแค่หาคำผิดพอ แก้คำผิดให้ถูกตามหลักพจนานุกรม
อย่ามาจุ้นก้าวก่ายกับสำนวนเนื้อหา ห้ามรีไรท์เด็ดขาด
ซึ่งผู้เขียนบล็อกคิดว่า...ถ้าทุกฝ่ายทุกแผนกร่วมมือกัน เปิดใจกว้างยอมรับกัน
และมีความตั้งใจจะผลิตหนังสือที่เปี่ยมคุณภาพและดีให้ผู้อ่านแล้ว
การทำงานเป็นทีมย่อมสำคัญมาก ทุกส่วนมีความหมายและคุณค่าเท่ากัน

ตอนนี้ ผู้เขียนบล็อกสิ้นสถานะการเป็นพนักงานกินเงินเดือนแล้ว
ไม่มีแล้วสำหรับรายรับทุกๆ สิ้นเดือน ขณะที่รายจ่ายมีทุกวัน
ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นรนกันไป อยู่อย่างพอเพียง ประหยัด และหายใจเบาๆ
ยามเหงาก็ออนไลน์ไปเรื่อย พยายามหางานฟรีแลนซ์ที่ตัวเองทำได้
หรือคิดหารายได้ทางเน็ตบ้าง มาตรแม้นชีวิตจะอยู่อย่างฝืดเคือง ชักหน้าไม่ถึงหลัง
กระทั่งบางมื้อก็ต้องอดบ้าง เคยคิดๆ จะเอาหนังสือที่เก็บสะสมไว้มาขาย
ทว่าก็ทำใจไม่ได้ ด้วยเสียดาย รู้สึกผูกพัน และสุขใจเสมอยามได้มองชั้นหนังสือในห้องตัวเอง

ท่านใดที่อยากหา พนักงานพิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์)  
มาช่วยเหลือแบ่งเบางานบ้าง ก็ติดต่อมาที่ chatcha26@hotmail.com 
(จะเมล์หรือคุยเอ็มก็ได้) หรือโทร 08-4211-0526 เพื่อสอบถามรายละเอียดเบื้องต้น 
โดยคิดราคาเป็นกันเอง จะเป็นยกหรือเหมางานเป็นเล่มก็ยินดี รับปรู๊ฟทั้งกระดาษอาร์ตเวิร์ก หรือจะเป็นไฟล์งาน พร้อมปฏิบัติตามแนวทางการทำงานของผู้ว่าจ้างทุกประการ

 โหยหากลิ่นน้ำหมึก ถวิลหาการได้ปรู๊ฟงาน...


16 มิถุนายน 2555

Shop ที่สุดก็ต้องร่ำลา

หลังจากที่ตะลอนเข้าเว็บนั้นทีออกบล็อกโน้นทีเพื่อจะสรรหาสินค้าหรือสิ่งของ
หรือบริการมาทำ Affiliate Marketing ก็พบว่าในเมืองไทยยังมีไม่มาก
เมืองไทยอาจยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเทียบเท่ากับในต่างประเทศ
จึงเป็นเหตุให้เจ้าของสินค้าผลิตภัณฑ์บางเจ้าดูไม่ครึกครื้น ไม่น่าพิสมัย
บางเจ้าก็อาจมองแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อถือ บางเจ้าก็กำหนดคุณสมบัติผู้สมัครสูงอีก
แต่โดยส่วนใหญ่ที่พอไว้ใจได้และน่าสมัครเป็นตัวแทนก็มีผู้คนแห่แหนโหมโรงทำกันไปแล้ว
บ้างก็หันไปใช้การอรรถาธิบายหรือแนะนำให้ความรู้เรื่องการทำ Affiliate Program 
พร้อมทั้งแปะลิงก์บางส่วนไว้ด้วยชั้นเชิงกลยุทธ์เล็กๆ  อาจเป็นเทคนิคในการทำ SEO กระมัง

อีกทั้งการทำ Affiliate Program ก็ประหนึ่งการโปรโมท
และโฆษณาเพื่อช่วยให้ผู้คนวิ่งเข้าหาเว็บหลักต้นสังกัดโดยปริยาย
ประมาณถนนทุกสายมุ่งสู่หน้าเว็บของเจ้าของสินค้าหรือบริการนั้นๆ
จึงเป็นเรื่องธรรมดาเบสิกที่เหล่า Affiliate จะเสมือนเป็นสะพาน
หรือเป็นกลไกช่วยประชาสัมพันธ์เพื่อส่งผู้เยี่ยมชมเข้าสู่เว็บไซต์นั้นๆ
ก็แหม Affiliate คือพันธมิตรร่วมธุรกิจกันนี่

ลองมาทำความเข้าใจเรื่อง Affiliate Marketing Program กันก่อน

Affiliate Marketing คือ วิธีการโปรโมทสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่มีบนโลกอินเทอร์เน็ต
โดยผ่านตัวกลางก็คือคุณ เรียกอย่างภาษาชาวบ้านร้านตลาดก็คือ "นายหน้าขายสินค้า" นั่นเอง
โดยที่ตัวแทนจำหน่ายเหล่านั้นไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็ได้
นับเป็นการตลาดแบบหนึ่งซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปร่วมสมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย (Affiliate)
พอสมัครสมาชิกเป็น Affiliate Partner แล้ว เมื่อขายสินค้าหรือบริการใดๆ ได้
ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเป็นเงินจำนวนหนึ่ง โดยเจ้าของสินค้าหรือบริการนั้นๆ
จะจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้เมื่อมีผู้คลิกสั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านป้ายแบนเนอร์/
ลิงก์แนะนำที่ตัวแทนจำหน่ายเอาไปโฆษณาตามเว็บบอร์ดต่างๆ
หรือโฆษณาผ่าน Social Network เช่น Hi5,Facebook และ Twitter
แค่ลูกค้าคลิกป้ายโฆษณาหรือลิงก์นั้นๆ พลันตัดสินใจซื้อก็รับค่าคอมมิชชั่นตามที่ตกลงกันมาเก็บอุ่นๆ แล้ว

Affiliate Program อาจไม่ใช่การขายสินค้าหรือบริการอย่างเดียว
แต่อาจต้องมีการวิเคราะห์ตลาด การเก็บสถิติข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสินค้า
หรือการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า เป็นต้น
หลักเบื้องต้นก็คือ  โปรแกรมการเป็นตัวแทนขายโฆษณาสินค้าหรือบริการให้กับบริษัทต่างๆ
ที่เปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย โดยที่ผู้เป็นตัวแทนขายจะได้รับค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน
ยิ่งตัวแทนจำหน่ายช่วยเจ้าของสินค้าหรือบริการขายได้มาก ผลตอบแทนก้ย่อมมากเช่นเดียวกัน
โดยเจ้าของสินค้าหรือบริการจะมีการพัฒนาโปรแกรมการขายให้ เพื่อเป็นเครื่องมือให้ไปโปรโมทกัน อาจจะเป็น Product Link  หรือ Banner ขนาดต่างๆ เมื่อมีผู้สั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านเครื่องมือเหล่านี้ ระบบจะทำการบันทึกว่าออเดอร์การสั่งซื้อสินค้านั้นๆ มาจากการแนะนำของตัวแทนคนใด
เหมาะกับผู้ที่ทำเว็บหรือมีบล็อกของตัวเอง

จุดน่าพิจารณาของ Affiliate Marketing คือ

# ตัวแทนจำหน่ายไม่ต้องห่วงเรื่องสต็อกสินค้า ไม่ต้องรับออเดอร์เอง 
และไม่ต้องวุ่นกับการแพ็กของเพื่อส่งสินค้าให้ลูกค้าแต่อย่างใด
# เจ้าของสินค้าหรือบริการไม่ต้องจ่ายเงินเดือนพนักงาน
เพราะจ่ายแค่ค่าคอมมิชชั่นให้กับตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น
จึงทำให้เจ้าของสินค้าสามารถควบคุมต้นทุนขายได้
# ผู้ซื้อประหยัดค่าเดินทางในการไปซื้อสินค้า สามารถสั่งสินค้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ทันที

Open Shop ของผู้เขียนอาจจะไม่ได้เปิดอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแหงๆ 
แต่ก็ลองเป็นตัวแทนขายสินค้าเว็บหนึ่งไปแหละ โดยใช้บล็อกเกอร์นำร่อง
(ปัจจุบันเลิกร่ำลายุทธจักรแนวนี้ไปเรียบร้อยโรงเรียนออนไลน์)
เลือกเว็บไซต์ไทยไว้ก่อนเพราะภาษาอังกฤษยังไม่ถึงขั้น โดยแยกไปทำอีกบล็อก 
ขณะนี้ยังเป็นขั้นทดลองและอีหลักอีเหลื่อในการสร้างบล็อกอยู่
จะะแจ้งเกิดหรือจะดับแสงคงต้องใช้เวลาตัดสิน ตอนนี้ลองถูกลองผิด 
งมคลำช่องทางไปเรื่อยๆ ในฐานะมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ 
สู้ๆ ชีวิตคือการเรียนรู้และค้นหาตราบที่ยังมีลมหายใจ...


14 มิถุนายน 2555

Door เปิดประตูสู่โลกออนไลน์

แอ๊ด แอ่ด แอ๊ดดดด...

เริ่มต้นจะทำ Blog ก็หนักเอาการอยู่ ด้วยความที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย
แค่พอถูลู่ถูกังเรื่องคอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ตปะล่อมปะแล่มได้บ้าง
ท่องเว็บหรือแชทอาจง่ายสบายๆ ชิวๆ (เอาอยู่)
เพราะไม่ได้อาศัยความรู้ที่ซับซ้อนมากมายกระไรนัก
ทว่าการทำบล็อกหรือเว็บนั้นช่างคนละเรื่องกันเลย
ยังมิต้องกล่าวถึงการเขียนเนื้อหา การจัดแต่งหน้าตา การนำเสนอที่มีความต่าง
ตลอดจนเทคนิคร้อยแปดพันเก้าเพื่อทำให้เว็บไซต์หรือบล็อกติดอันดับต้นๆ ของกูเกิล
ยังไงก็ต้องลองผิดลองถูกตามประสาของคนที่ไม่รู้ ไม่ประสีประสาเรื่องเทคโนโลยี
ทำไม่ได้ค่อยว่ากันใหม่ เพราะย่อมดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...

พลันที่ตัดสินใจว่าจะทำ Affiliate Marketing เพื่อหารายได้แบบพอเพียง (มักน้อยก่อน)
มิได้หมายจะเป็นเศรษฐีในพริบตา ประมาณอยากทดลองตลาดค้าขายออนไลน์ไทยแลนด์ดู
ไม่เน้นโหมกระหน่ำที่จะขายอย่างบ้าคลั่ง แม้นว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ ใครก็ใคร่สนใจและอยากจะได้
อยากจะมี ทั้งอยากครอบครองให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ ทว่าใจเย็นๆ ไว้ดีกว่า
โดยหวังว่ายามแก่เฒ่าชราภาพจะได้ไม่ลำบากขัดสนหรือให้ลูกหลานมาเดือดร้อนวุ่นวาย

จากที่ดุ่มๆ ท่องหาเรื่องเกี่ยวกับการทำ Affiliate Program ของไทยก็พบว่า...
มีโปรโมทกันเพียบ โฆษณากันพึ่บพั่บ สินค้าก็เครือๆ กัน คล้ายๆ กัน
อาจมีฉีกแนวด้านการนำเสนอหรือพลิกพลิ้วไปตามสไตล์ของแต่ละคน 
เอาละสิ แล้วจะทำเช่นไรหนอ โอ้...พ่อแก้ว แม่แก้ว ลูกแก้ว เพื่อนแก้ว เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ในสังคมโชเซียลเน็ตเวิร์กที่กำลังขยายตัวหอมหวนอย่างกว้างขวางในยุคนี้
การหารายได้ผ่านอินเทอร์เน็ตมีการแข่งขันสูงยิ่ง คนเก่ายังอยู่ คนใหม่พาเหรดก้าวมาทำ 
บางคนอาจหายไปบ้าง แต่ขบวนของคลื่นคนที่อยากกระโจนหาเงินทางออนไลน์นั้นมิเคยขาดสาย....

เยี่ยงคนใหม่ๆ อย่างผู้เขียน แค่การทำ Blog ก็เล่นเอาเหงื่อตก คิ้วย่นขมวด หน้ายับยู่
อดตาหลับขับตานอน จ่อมจมเดียวดายกับอันดับขั้นการเนรมิตบล็อกให้ได้ดังใจ สมใจ
แต่ยิ่งอยากทำให้บล็อกสวย ดูดี และน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งช้าอืดอาดเป็นเต่าคลาน
ลนลาน มะงุมมะงาหรา และวกวนอยู่ในเขาวงกตมากขึ้นเท่านั้น เพราะความอ่อนด้อยและไม่รู้นั่นแล 
คงต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ สะสมความชำนาญไปเรื่อยๆ พอเมื่อยขบพานเกียจคร้านก็หลับสักงีบ
โดยลึกๆ นั้นไม่ได้คำนึงถึงสุภาษิต "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" หรอก 
แต่คนไม่เก่งไม่ชำนาญอย่างผู้เขียนเลยสร้างบล็อกไม่คล่องและปั่นไม่เป็น 

มาตรแม้นว่าการทำการตลาดออนไลน์จะสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
กระนั้นก็ต้องอาศัยพรแสวงผสมความอดทนยิ่งยวด ต้องชำนาญทางเทคนิคบ้าง
หมั่นอ่าน ขยันทำ ยามเหนื่อยก็พัก เมื่อยก็หยุด ปล่องวางสักครู่แล้วค่อยลุยต่อ--
... 

Open Door เปิดประตูแล้วก้าวเข้ามา... 
ฝนตกโปรยปรายก็แวะมาหลบได้ แดดร้อนก็แวบมาผ่อนอุราสักครู่ 
แม้นตอนนี้... บล็อกแห่งนี้ยังไม่มีอะไรมากมาย พินิจแล้วช่างโหรงเหรงวังเวง โล่งโถง 
แถมหน้าตาบล็อกแสนเชยบรม เพราะผู้เขียนเพิ่งริเริ่มหัดทำบล็อกหมาดๆ 
ทั้งข้อความที่เผยแพร่นี้ก็ด้นสดพิมพ์สดโดยส่วนใหญ่  
ประมาณนึกคิดกระไรได้ก็เคาะๆ แป้นไป ให้หัวใจและจินตนาการนำทางไป...

มาถึงตอนนี้ ผู้เขียนยังขบคิดไม่ออกเลยว่าจะทำ Affiliate Program สินค้าไหนดี 
เท่าที่ส่องๆ ก็เห็นมีคนลงไม้วาดฝีมือทำกันแล้ว เราก็เสมือนผู้ตามหรือผู้มาทีหลัง 
คอยเก็บตกข้อมูลไปเรื่อยๆ หรือว่าจะพับโครงการการเป็นตัวแทนจำหน่ายไว้ก่อน 
แล้วหันมาเปิดร้านค้าออนไลน์ดีไหมนา ติ๊กต่อกๆ (ทุนๆ)

พักฟังเด็กๆ จาก "ทีมยอมรับความจริง"
ร้องเพลงในรายการ Thailand's Got Talenกันก่อน


13 มิถุนายน 2555

Blog มือใหม่

ชีวิตมนุษย์เกิดมาแล้วย่อมต้องเสาะแสวงหาสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง
ให้กับครอบครัว ให้กับคนที่รัก และให้กับคนรอบข้าง
แน่แท้ว่า...ปัจจัย ๔ ย่อมเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
เราทุกคนต่างต้องมีปัจจัยเหล่านี้ในการดำรงชีวิตทั้งสิ้น
ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมนุษย์ทุกเชื้อชาติ


มีบางคนให้ทัศนะเรื่องปัจจัย ๔ ของผู้หญิงแบบน่ารักๆ แกมหยอกว่าคือ
เสื้อผ้า 
กระเป๋า 
รองเท้า 
และเครื่องสำอาง...


สมัยนี้...ความสวยความงามเป็นเรื่องที่ผู้หญิงให้ความสนใจกันมาก
ดังคำโบราณที่ว่า "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง"
คงไม่มีใครปฏิเสธการได้มอง ได้เห็น และชื่นชมความสวยงามของสตรี
โดยเฉพาะบรรดาผู้ชายโสดบ้างไม่โสดบ้าง แต่ผู้ชายบางส่วนก็มีความคิดเห็นว่า
ผู้หญิงน่ารักนั้นน่ามองกว่าผู้หญิงสวย ความน่ารักมีเสน่ห์กว่าความสวย
ทำนองอยู่ใกล้แล้วไม่น่าเบื่อ ไม่น่ารำคาญ ก็ว่ากันไป...
เพราะที่สุดแล้ว ผู้หญิงทุกคนล้วนมีเสนห์ในตัวเองทั้งนั้น
ความงามอาจไม่ใช่กำจัดเจาะจงแค่ที่รูปร่างหรือหน้าตา อิสตรีควรงามที่จิตใจด้วย
บุคคลใดที่ครบถ้วนงามทั้งกาย วาจา และใจ
บุคคลนั้นย่อมเป็นที่ปรารถนาและควรค่าผูกสัมพันธ์ไมตรีเหลือคณา

ที่สำคัญสุดก็อย่าละเลยต่อสุขภาพของตัวเอง ออกกำลังกายบ้าง
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ขณะที่สุขภาพใจหรืออารมณ์ก็มิอาจมองข้ามได้
ว่างเว้นจากการออนไลน์ก็หยิบหนังสือมาอ่านสักเล่ม หรือจะออกไปดูภาพยนตร์สักเรื่อง
หากมีเวลามีทุนก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ
หรือจะเข้าวัดไปทำบุญฟังเทศน์ ปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสว่าง
เกิดปัญญา อารมณ์สงบเยือก จะได้มีพลังในการเรียน ทำงาน หรือดิ้นรนสู้กันต่อไป...

ชีวิตมีสิ่งดีๆ ให้เลือกมากมาย มีคนที่ให้รัก มีงานให้ทำ มีทางให้เดิน 
มีหนังสือให้อ่าน มีเพลงให้ฟัง มีละครให้ชม มีบทกวีให้เสพ 
มีเงินให้ช็อปปิ้ง มีครูให้ไหว้ มีเพื่อนให้คุย มีแม่ให้กอด มีหมอนให้หนุน ฯ 
โลกนี้มีทั้งเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงโหยหวน เสียงหยอกเย้า
เสียงเพลงแว่วหวิว เสียงนกขับขาน เสียงเครื่องจักรคำราม 
เสียงคลื่นทะเลกู่ก้อง และเสียงแห่งความยินดีปรีดา

เกริ่น Open Blog อย่างมือใหม่ถอดด้ามแบบพิมพ์สดๆ
ปล่อยสมองไหลเรื่อยแล้วมือก็เคาะแป้นไปแบบใจเย็น
พลางคิดว่าจะนำเสนอบล็อกนี้เช่นไรให้สมเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้
เพราะอยากทำบล็อกนี้ขึ้นมาโดยไม่ดัดจริตหรือหวังผลประโยชน์มากเกินไป
อีกทั้งโปรยคำประกอบบล็อกไปล่วงหน้า ซึ่งต้องเขียนให้เข้าประเด็นและกลมกลืน
โดยหวังให้มีสาระเชิงสร้างสรรค์บ้าง มีเอกลักษณ์ผสานอัตลักษณ์ของบล็อกนั้นๆ
ทั้งมีความเป็นกันเอง รู้สึกอบอุ่น ไว้เนื้อเชื่อใจ และเป็นสะพานสายรุ้งแห่งมิตรภาพที่งดงาม

วาดภาพบล็อกเสียหรูจรัส ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้อย่างที่คิดฝันไว้หรือเปล่า
อยากเน้นคุณภาพมากกว่าให้ความสำคัญกับปริมาณ แต่คนไทยยุคดิจิตอลนี้เก่งและฝีมือเยี่ยมมาก สังเกตจากการผลิตเว็บไซต์หรือทำบล็อกออกมาแล้ว ล้วนสวยงาม เปี่ยมคุณค่าและความรู้
มีพลังและไอเดียบรรเจิดไม่น้อยหน้าชาติไหนๆ

"เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเครื่องสำอาง... 
๔ สิ่งนี้เหมาะนำมาทำบล็อกจริงๆ"  เสียงรำพึงแว่วเบาๆ

.


Mind เปิดบล็อกหยั่งใจ

เหตุที่ทำบล็อกนี้ขึ้นมานั้น ก็ด้วยอยากเรียนรู้ว่าตัวเองจะสามารถเขียนถ่ายทอดอะไรได้บ้าง
กอปรกับพอมีเวลาว่างเว้นจากกิจวัตรประจำวันต่างๆ  ไหนๆ ชีวิตโดยปกติก็ออนไลน์ตลอดอยู่แล้ว
ทั้งชอบตระเวนท่องไปตามเว็บต่างๆ เพื่อหาความรู้บ้าง ศึกษาบางสิ่งเพิ่มเติมบ้าง
สงสังหรือไม่รู้สิ่งใดก็อาศัยกูเกิ้ลช่วยค้นหา หรือกระทั่งการจะหารายได้พิเศษ
ขายของออนไลน์ ธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ อย่าง E-business กับ E-commerce
เมื่อตามต่อไปก็จะเจอกับคำศัพท์เพิ่มทั้ง Internet Marketing, Attraction Marketing,
Affiliate Marketing, Direct Sale Marketing, Network Marketing, Adsense, Amazon 

และ Social Media Marketing ฯ ข้อมูลช่างล้นหลามเสียจริง ศึกษากันไม่หวาดไม่ไหวเลย

แล้วทั้งบล็อกและเว็บที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ก็มีมากมายนับไม่ถ้วน
ร้านค้าออนไลน์ก็บานสะพรั่งดั่งไฟลามทุ่ง ซึ่งนับวันจะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น...


ยุคเทคโนโลยีที่รุ่งโรจน์นี้ ความสะดวกสบาย ข่าวสารมากมาย 
การทำธุกรรมต่างๆ การเข้าถึงข้อมูลความรู้ 
ตลอดจนการจับจ่ายใช้สอยได้มาอยู่ตรงหน้าและปลายนิ้วแล้ว 
เพียงแค่ออนแล้วคลิกก็เสมือนย่อโลกมาอยู่ที่จอสี่เหลี่ยมทันใด 
ชีวิตในอนาคตอาจไม่ต้องออกจากบ้าน ไม่ต้องเดินทางไปทำงาน 
ไม่ต้องไปติดแหง็กบนท้องถนน ไม่ต้องไปตากแดดโดนฝน 
เพราะโลกออนไลน์ได้เข้ามาเยือนถึงในบ้าน
และในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่คลิกเม้าส์...

ผู้เขียนก็มีความสนใจเรื่อง E-commerce หรือ Network Marketing
ทั้งที่ภาษาอังกฤษรู้เพียงงูๆ ปลาๆ และไม่มีความรู้เรื่องการทำเว็บหรือสร้างบล็อกใดๆ เลย
แต่ก็ไม่ลังเลที่จะกระโจนมาหารายได้พิเศษเหล่านี้เช่นกัน
หากไม่เริ่มต้น ไม่ลองทำ ไม่ลงสนาม แล้วจะหยั่งรู้ได้ยังไง
เพราะคนที่ประสบความสำเร็จกับเรื่องเหล่านี้สามารถทำเงินได้หลักหมื่นบ้าง หลักแสนบ้าง หลักล้านก็มี บางคนทำเงินได้เยอะยิ่งกว่าการเป็นพนักงานกินเงินเดือนด้วยซ้ำ
กระนั้น กว่าพวกเขาพวกเธอเหล่านี้ที่จะก้าวมาสู่ความสำเร็จแสนงดงามได้ก็ต้องอดทน
มุมานะ ขยันขันแข็ง และสู้จนถึงที่สุดเช่นกัน "ล้มเหลวแต่ไม่ล้มเลิก"
ผ่านทั้งปัญหาและอุปสรรคนานัปการ แม้นจะท้อทว่าก็ไม่ถอย...

แรกเริ่ม...ผู้เขียนเคยลงทุนกับพวกเว็บ Hyip ซึ่งมีทั้งขาดทุนและได้กำไรคละเคล้ากันไป
แต่ก็สุ่มเสี่ยงด้วยไม่รู้ว่าเว็บฮิปจะปิดตัววันไหน ถอนเงินแล้วจะได้หรือไม่
ที่สุดจึงเลิกตัดขาดจากฮิป ทั้งไม่อยากหาคนด้วยการโปรโมทให้มาลงทุนเพื่อหวังกินค่าคอมมิชชั่น
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือไม่อยากให้คนไทยเสียรู้หรือสูญเงินออกนอกประเทศ
เพราะเว็บฮิปเหล่านี้มันเป็นของต่างประเทศทั้งนั้น

ต่อมา...ผู้เขียนก็หันมาสนใจการเทรด Forex 
ฟอเร็กซ์ คือ ตลาดกลางสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก
แบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือตลาดทุนแบบหนึ่งคล้ายกับตลาดหุ้นนั่นเอง
โดย การเทรดผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งต้องนำเงินฝากเข้าโบรกก่อนถึงจะเทรดได้
ช่วงที่สนใจฟอเร็กซ์นั้น ผู้เขียนหมั่นค้นคว้าศึกษาแนวทาง วิธีการ
เครื่องมืออินดิเคเตอร์ และข่าวสารเศรษฐกิจของประเทศคู่เงินที่เล่น
โดยส่วนมากผู้คนจะเทรดกันที่คู่เงิน EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์) เป็นหลัก
ซึ่งทุกวันนี้ ผู้เขียนก็ยังเทรดอยู่ ก็แหม...เทรดเสียเสมือนจ่ายค่าหน่วยกิตหรือค่าเทอมไปพอควรแล้ว
ไว้มีโอกาสจะมาแชร์เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ Hyip และ Forex อีก

Open Mind  เปิดใจแบบตรงมาตรงไป เจตนารมณ์ที่สร้างบล็อกนี้ขึ้นมานั้น
ก็เพื่อจะทำ Affiliate Program ไม่ก็หาสินค้าหรือสรรหาสิ่งอื่นๆ ที่มีประโยชน์มานำเสนอเชิงพาณิชย์ผสมสาระเล็กๆ อย่างเป็นกันเอง คลุกเคล้าด้วยเรื่องราวชีวิตต่างๆ อันหลากหลาย
ด้วยการนำเสนอในแนวทางของตัวเอง โดยไม่ใช่การยัดเยียดเน้นการขายมากเกิน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเวิร์กหรือผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร อาจล้มเหลวไม่เป็นท่าหรือไม่เป็นโล้เป็นพายก็ได้
ทว่าขอให้ได้ลองลิ้มรสและได้ทำสักหน่อยเถิด เว้ากันซื่อๆ บอกกันตรงๆ
ตามประสาคนไทยหัวใจรักชาติ รักแผ่นดินถิ่นเกิด

ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า...ผู้เขียนมีความรู้เรื่องการหาเงินทางออนไลน์น้อยมาก
ยังไม่ต้องกล่าวถึงการสร้างเว็บไซต์ การทำ SEO ให้เว็บติดอันดับ
หรือการประดิดประดอย Keyword เพื่อให้ Search Engine สามารถค้นหาเจอได้ง่าย
กระทั่งการทำ Landing Page หรือเรื่อง Google AdSense เป็นต้น
เมื่อมาเจอศัพท์แสงเช่นนี้ ทำให้ผู้เขียนมึนและงงเป็นไก่ตาแตกอย่างเด็กอนุบาลก็ว่าได้
ยิ่งไม่มีพื้นฐานความรู้ทางคอมพิมเตอร์หรือโปรแกรมเมอร์ด้วยแล้ว
ย่อมมิวายเหมือนงมเข็มในมหาสุทรแปซิฟิก หรือเข็นครกขึ้นภูเขาเอเวอร์เรสเลย

ว่าแต่จะเป็นตัวแทนขายโฆษณาสินค้าหรือบริการด้านใดดีล่ะ
แล้วจะทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายด้วยวิธีไหน
จะนำเสนออย่างไรเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวสินค้านั้นๆ
และที่สำคัญจะสร้างสรรค์บทความตามคอนเซ็ปต์บล็อกให้สอดคล้องกับตัวสินค้าเช่นไร
เพราะลองท่องตระเวนเล่นๆ ไปตามบล็อกหรือเว็บแนว Affiliate Marketing
ส่วนใหญ่แล้วรูปแบบการนำเสนอไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ มีซิกแซกกันบ้าง
ฉะนั้น คงอยู่ที่กลยุทธ์ในการเขียนบล็อกและทำเว็บของแต่ละคนว่า...
จะแสดงฝีมือหัวป่าก์ปรุงรสและตบแต่งให้อร่อยเยี่ยมยังไง

ที่แน่ๆ ตอนนี้คงต้องศึกษาการทำ blog เป็นอันดับแรกก่อน
มือใหม่ก็ต้องค่อยๆ คลานกระดึ๊บๆ

.