29 สิงหาคม 2555

Piggy น้องหมูที่น่ารัก

เล่าไปเรื่อยเปื่อยแบบเศร้าๆ เคล้าน้ำปลา ใส่พริกป่นสักหน่อย เสียดายไม่มีมะนาวสักซีกบีบใส่
My Life วันนี้ก็เหมือนเช่นหลายๆ วันที่ผ่านมา...เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น
ใช้แหนบถอนผมหงอกแคะๆ เหรียญจากกระปุกออมสินน้องหมูมาได้ยี่สิบสองบาท
เป็นเหรียญใหม่ที่หยอดไว้สมัยทำงานประจำ มีทั้งเหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญสองบาท
แน่นอนว่าเหรียญหนึ่งบาทเยอะสุด วันนี้แคะเหรียญออกมาคงไม่ทำให้น้องหมูผอมนะ

My Piggy

ช่วงชีวิตแย่ๆ นี่ บางทีก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ
กาแฟหมด ไข่ไก่หมด ยาสีฟันหมด น้ำยาล้างจานหมด ไวไวหมด 
แล้วอีกหลายสิ่งก็เริ่มทยอยหมดตามมาดั่งเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เหรียญยี่สิบสองบาทซื้ออะไรได้บ้างละนี่--?
ว่าแล้วก็อาบน้ำแบบลวกๆ และเร่งรุดลงไปร้านขายของชำเจ๊ประจำข้างล่าง
กาแฟ Birdy ๑ ซอง ๕ บาท / ไข่ไก่ ๑ ฟอง ๔ บาท / ยาสีฟัน Colgate หลอดเล็ก ๑๐ บาท
เติมน้ำเปล่าที่เครื่องหยอดไปอีกสองบาท ยังโชคดีเหลือเงินหนึ่งบาท

และยังดีที่ข้าวสารยังมี จัดแจงหุงเลย ทีนี้จะทำเช่นไรกับไข่ไก่หนึ่งฟองเพื่อกินให้อยู่ท้องสำหรับทั้งวันนี้
ระหว่างจิบกาแฟร้อนๆ สมองก็ครุ่นคิดเมนูต่างๆ ไปสะระตะ ที่สุดก็ลงเอยด้วยไข่เจียวแบบใส่น้ำผสม
อาศัยทำน้ำปลาใส่พริกป่นเหยาะน้ำส้มสายชูสักหนึ่งถ้วย กินแบบเน้นข้าวเป็นหลัก อิ่มท้องไว้ก่อน
อา...เวลาหิวจัดๆ นี่ ข่าวร้อนก็ให้รู้สึกหอมและอร่อยล้ำยิ่ง

ช่วงหลังๆ กินอยู่แบบมีชีวิตรอดไปวันๆ
บางวันแกงหนึ่งถุงยี่สิบบาทก็กินได้ ๓ มื้อ หรือปลากระป๋องหนึ่งกระป๋องก็ต้องกินให้ได้ ๓ มื้อต่อวัน
บางวันต้มไวไวหรือมาม่าหนึ่งซองเพื่อกินกับข้าวสวย บางวันก็ซื้อปลาทูหนึ่งแพ็คราคา ๑๒ บาทมาทอดกิน
บางวันกินข้าวไป น้ำตาก็ซึมไป และบางคืนท้องก็ร้องโครกครากด้วยความหิว อาศัยน้ำเปล่าประทังไป...
เคยร่ำๆ คิดอยากจบชีวิตตัวเองเช่นกัน กระนั้นก็ยังหวังว่าวันพรุ่งนี้คงดีขึ้น มีสิ่งดีๆ เล็กๆ เกิดขึ้นบ้าง

เปิดเน็ตดูเมล์ว่ามีบริษัทหรือสำนักพิมพ์ไหนจะส่งข้อความมาติดต่อเรื่องงานปรู๊ฟหนังสือบ้าง ก็ว่างเปล่า
คลิกดูร้าน Life Book ว่าจะมีใครสั่งซื้อหนังสือมือสองบ้างไหม ก็ว่างเปล่า
ลองแวะหาดูว่าที่ไหนรับสมัครพนักงานพิสูจน์อักษร หรือบรรณาธิการเล่มแบบฟรีแลนซ์ล่าสุดบ้างไหม ก็ไม่มี
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มืออ่อนระทวย หัวใจหม่นระโหย น้ำตาซึมอีกครั้ง...

พลันกวาดตามองหาข้าวของในห้องซึ่งพอมีค่าที่จะไปจำนำได้ ก็ไม่มีสิ่งใดให้น่าจำนำ
ยกเว้นโน้ตบุ๊กที่กำลังใช้งานอยู่เครื่องนี้--

เหลือบมอง Piggy น้องหมู... พรุ่งนี้คงต้องแคะเหรียญออกมาอีกแน่แท้
น้องหมูของฉัน...ช่างแลดูน่ารักจริงๆ 

.




28 สิงหาคม 2555

Despond เศร้าสลดยามตกต่ำ

Open Life เล่าไปเรื่อยเปื่อยแบบเฉื่อยๆ
บางคราก็ท้อแท้ใจและเศร้าใจเกินกว่าจะเล่าหรือเขียนอะไรออกมาได้
ด้วยไม่รู้ว่า...ชีวิตข้างหน้านั้นจะเป็นเฉกเช่นไร นับวันยิ่งแย่ลงๆ หน้าหมองลง และผอมลง
ครั้นจะให้บอกเล่าเรื่องราวดีๆ เรื่องชวนหัวเราะ หรือเรียกรอยยิ้มได้นั้นก็อับจนถ้อยคำสิ้น

ลองลงประกาศเพื่อหางานรับจ้างพิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์) ไปตามเว็บต่างๆ มาหลายเดือนก็เงียบกริบ
ไม่มีบริษัทหรือสำนักพิมพ์ใดติดต่อว่าจ้างเลย หรือว่าเขียนประกาศไม่เชิญชวนและดูขลังมั้ง

วันนี้...ลองใช้คีย์ "รับจ้างพิสูจน์อักษร ฟรีแลนซ์" หาดูในพี่ Google แล้วจ๊ะเอ๋...

keyword รับจ้างพิสูจน์อักษร ฟรีแลนซ์

ผมลงประกาศในพันทิปมาร์เก็ตแล้วขึ้นอันดับ 1 ของกูเกิลได้
ทว่าที่สุดก็ยังไม่มีใครว่าจ้าง จำต้องกินอยู่อย่างประหยัดและอดทนต่อไป...

เมื่อตอนนี้ยังไม่ได้งานปรู๊ฟภาษาไทยแบบฟรีแลนซ์
ผมก็ตัดสินใจเอาหนังสือที่เก็บสะสมและได้มาสมัยทำงานมาปัดฝุ่นเตรียมขาย
แต่จะให้ขนหนังสือไปขายแบบชั่งกิโลนั้น หัวใจผมคงยับเยินและชอกช้ำแน่
หรือจะเอาไปขายตามร้านหนังสือมือสองที่รับซื้อแล้วให้ราคา 20-30% ต่อเล่ม ก็ไม่ไหว
ในที่สุดจึงตัดสินใจหาเว็บร้านค้าฟรีๆ ที่ไม่เสียค่าจดโดเมนหรือเสียค่าเช่าโฮลติ้ง
พูดง่ายๆ ว่าไม่มีปัจจัยด้านการเงิน ไม่มีงบลงทุน แค่จะกินไปมื้อๆ ยังกระท่อนกระแท่นเลย
ผมจึงต้องหาใช้บริการเว็บฟรีๆ แบบ Blogger นี่แหละ...

Life Book ขายหนังสือมือสอง


และแล้ว ร้านหนังสือมือสอง Life Book ก็ได้ก่อเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
นี่ก็เตาะแตะต้วมเตี้ยมมาได้เดือนกว่าๆ ละ โดยภาพรวมเว็บนี้ผมทำเองทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
ไม่ได้จ้างให้ใครออกแบบเว็บร้านหนังสือมือสองไลฟ์บุ๊กให้ เพราะไม่มีเงินจ้างหรอก
คลำๆ ทำไป หน้าตาเว็บจึงออกมาตามที่เห็น แบบธรรมดาๆ เชยๆ ตามสภาพของฟรี (^^)
ที่ผ่านมา เพิ่งมีลูกค้ามาซื้อแค่คนเดียว และล่าสุดก็มีคนมาจองหนังสืออีกราย
อาจเพราะยังเป็นร้านหนังสือมือสองออนไลน์หน้าใหม่ หนังสือที่ลงเว็บยังน้อยอยู่
หรือว่าผมลงภาพหนังสือไม่สวย หรือผมตั้งราคาแพงไปหรือเปล่า
หรือว่าต้องใช้เวลานานกว่านี้ถึงจะมีลูกค้าแวะเวียนมาซื้อให้เจ้าของร้านได้ยิ้มและดีใจบ้าง

***

ทว่าที่สุดแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตตัวเองนั้นจะผกผันหรือตกต่ำไปเช่นไรอีก
ใกล้สิ้นเดือนก็เหมือนใจจะสิ้น... ขณะเงินในบัญชีใกล้จะหมด...
บางเวลาแม้นใจจะสู้ พอมีพลังฮึด มีกำลังใจบ้าง หรือกระทั่งมองโลกในแง่ดี
แต่ในบางเวลาเช่นกันที่ใจพลันทรุด ห่อเหี่ยว หดหู่ หงอยเหงา และหมดอาลัยตายอยาก

ถึงที่สุดแล้วคงไม่มีอะไรจะย่ำแย่หรือเลวร้ายไปกว่านี้
ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป...ว่าไหม?

หากท่านใดช่วยอุดหนุนซื้อหนังสือมือสองของผมบ้าง
ผมก็ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย...

LifeBook

21 สิงหาคม 2555

Tired เหนื่อยล้าและเจ็บร้าว

ช่วงนี้ ทั้งสภาพร่างกาย ความรู้สึก หรือจิตใจช่างห่อเหี่ยว เหนื่อยล้า และหดหู่เหลือแสน
ยิ้มน้อยลง หัวเราะน้อยลง ขณะซึมเศร้ามากขึ้น วังเวงมากขึ้น
กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ มือก่ายหน้าผากแล้วครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย
กลางวันดูเหมือนเวลาเดินอืดอาด หายใจอย่างไร้คุณค่า หมกตัวอยู่แต่ในห้องอย่างเดียวดาย


ตื่นสาย... นอนดึก... บางทีก็นอนตอนแสงแรกอรุโณทัยเบิกฟ้า
วงจรชีวิตวนเวียนซ้ำซากวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ที่สุดก็ผ่านพ้นไปอีกเดือน
เช็กเงินในบัญชีธนาคาร เห็นตัวเลขยอดเงินคงเหลือแล้วหวั่นใจละเหี่ย
เงินลดลงทุกเดือนและทุกวัน จากหลักหมื่นลดพรวดมาหลักพัน
และอีกไม่นานคงเหลือหลักร้อย ที่สุดก็ไม่มีเงินจะกดถอน
มื้อนี้...ไข่เจียวหรือไม่ก็ปลากระป๋องอีก นับเป็นกับข้าวมื้อที่หรูแล้วสำหรับคนไม่มีเงิน
บางวันแค่น้ำพริกกระปุกหนึ่ง หรือตำน้ำพริกกะปิถ้วยหนึ่ง หรือทำพริกน้ำปลาถ้วยหนึ่งก็อิ่มได้
พร่ำบอกตัวว่า "ไม่เป็นไร" เดี๋ยวก็ดีขึ้น อดทนหน่อยนะ ทว่าในใจกลับเหนื่อยเพลียและเจ็บร้าว
ยามส่องกระจกเห็นตัวเองแทบตกใจ ไยผ่ายผอมและดูโทรมยิ่ง

เรามาทำอะไรอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองแสนศิวิไลซ์นี่นะ

พลันคิดถึงเพลง "Moon Shadow" ของ Cat Stevens ขึ้นมา ทว่ากลับรางเลือน แผ่วไกล
เลยพึมพำเพลง "เงาดวงจันทร์" ของ อารักษ์ อาภากาศ แทน...

ฉันเดินทางตามเส้นทางของดวงจันทร์ ตามเส้นทางของดวงจันทร์
ประสบหรือพลาดหวังตามแต่เงาของท่าน ตามแต่เงาของท่าน

ถ้าหากฉันเพียงแต่ขาดแขนไป หมดน้ำใจขาดที่พึ่งพิง
หากฉันเพียงแต่ขาดแขนไป...
โอย...ฉันคงไม่ต้องไปทำงาน คงไม่รู้จักทำงานด้วย

ถ้าหากฉันเพียงแต่ขาดแก้วตา มองหนใดไม่นำพา
หากฉันเพียงแต่ขาดแก้วตา.. 
โอย..ฉันคงไม่ต้องนั่งร้องไห้ คงไม่รู้จักร้องไห้...

Yes, I'm being followed by a moonshadow
Moonshadow, moonshadow
Leaping and hopping on a moonshadow
Moonshadow, moonshadow

And if I ever lose my hands
Lose my plow, lose my land
Oh, if I ever lose my hands
Oh, if - I won't have to work no more

And if I ever lose my eyes
If my colors all run dry
Yes, if I ever lose my eyes
Oh, if - I won't have to cry no more...

.


11 สิงหาคม 2555

Mother ความรักแสนงดงาม

มีผู้หญิงคนหนึ่งที่น่ารัก ควรค่าเคารพ และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เป็นผู้หญิงที่พร้อมให้อภัย ให้ความรัก ให้โอกาส เรียกได้ว่าชีวิตนี้มีแต่ให้ ให้ และให้...
ไม่ว่าเราจะอ่อนแอ ล้มเหลว ผิดหวัง พลาดพลั้ง หรือจะดีจะชั่วเพียงใด
ผู้หญิงคนนี้จะห่วงหา ห่วงใย และเฝ้ามองอยู่ตราบที่ยังมีลมหายใจ
ผู้หญิงคนนี้ก็คือ "แม่" ผู้ให้กำเนิดและให้ชีวิตเรานั่นเอง

ไม่มีถ้อยคำใดๆ ที่จะนิยามความเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้
ไม่มีบทเพลงหรือบทกวีใดๆ ที่จะบรรยายความรักที่แม่มีต่อลูกได้หมดเปลือก
ไม่มีภาพวาดใดๆ ที่จะงดงามและเปี่ยมค่าเทียบสองมือแม่ที่ประคบประหงมลูกน้อย
ไม่มีภาพยนตร์หรือละครใดๆ ที่จะกล่าวขานถึงความหวังดีที่แม่มอบให้ลูกได้จวบอวสาน
ไม่มีอ้อมกอดใดๆ หรือความรักใดๆ ในโลกหล้าจะบริสุทธิ์จริงใจเท่ากับการกระทำที่แม่มีต่อลูก...


วันแม่ปีนี้...เปิดหนังสือ ม้าก้านกล้วย ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม เพื่ออ่าน "ไหมแท้ที่แม่ทอ" อีกครั้ง
ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ม้าก้านกล้วย ได้รับรางวัลซีไรต์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘
และได้รับเลือกให้เป็นหนังสือนอกเวลาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ทั้งยังได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อว่า Banana Tree Horse
โดย หม่อมหลวงพีระพงศ์ เกษมศรี อดีตราชเลขาธิการ

แม่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมตั้งใจนัก    เรี่ยวแรงรักแม่ใช้เพื่อใฝ่ฝัน
อีกสาวไหมด้วยมือซื่อสัตย์นั้น    ทั้งทอมันละเมียดละไมใช้เวลา
สื่อวิญญาณผ่านมือสู่เส้นไหม    แต่ละใยแต่ละเส้นเป็นเนื้อผ้า
ตีนที่ใช้กระตุกกี่คือชีวา    มือที่คว้ากระสวยวาดคือชีวิต
ผ้าขาวม้าผืนใหม่แม่ให้ลูก    รักพันผูกทุกใยไหมวิจิตร
ใยไหมโยงใจแม่เนรมิต    ไหมอุทิศแม่ก็ทอต่อตำนาน
ลูกก็ถือผ้าทอที่แม่ให้    เป็นเยื่อใยไหมและแม่ที่กล้าหาญ
ผ้าทั้งผืนมีชีวิตจิตวิญญาณ    ถักประสานสอดสร้างอย่างแยบยล
มือน้อยน้อยของแม่ดูแค่นี้    เคยเฆี่ยนตีลูกบ้างในบางหน
แต่มือเดียวกันนี้แหละสู้ทน    ประคองลูกให้พ้นภยันตราย
แหละมือนี้ที่บันดาลงานชีวิต    มิเคยคิดค่าแรงแข่งซื้อขาย
ยังถักทอทรมาน์ยังท้าทาย    ยังมั่นหมายผ้าไหมผืนใหม่มา
พร้อมทั้งสอนลูกสาวเจ้าศรีเรือน    อยู่เป็นเพื่อนแม่ทอปรารถนา
เพื่อสืบทอดแรงงานกาลเวลา    ก่อนมือแม่จะอ่อนล้าต้องลาพัก
และสอนเจ้าลูกชายให้ทรนง    รักแม่ก็ขอจงทำงานหนัก
ด้วยละเอียดอ่อนในเยื่อใยรัก    พลีชีวิตเพื่อถักและทอไท
สักวันหนึ่งถึงไม่มีชีวิตแม่    ลูกที่แท้ก็คงทอสืบต่อได้
แม่ก็ทอลูกก็ทอต่อเส้นใย    ผ้าชีวิตผืนใหม่จะต้องงาม...

.








6 สิงหาคม 2555

Dog เพื่อนรักวัยเยาว์

ความจริงบทรำพึงรำพันนี้ได้เขียนลงอยู่ในบล็อกหนึ่งของผมไว้แล้ว
ทว่าที่สุด ผมก็ตัดสินใจลบบล็อกดังกล่าวทิ้งไป ด้วยไม่ค่อยมีเวลาอัพและไม่ใช่สไตล์ตัวเองเท่าไหร่
กระนั้น เพราะอยากให้เป็นบทบันทึกชิ้นหนึ่งในชีวิตที่ยังคงอยู่...จึงขอนำมาลงในที่นี้แทน

สัตว์ตัวแรกที่ผู้เขียนเลี้ยงสมัยเด็กๆ ก็คือสุนัขพันทางตัวผู้ตัวหนึ่ง โดยตั้งชื่อมันว่า "มอม"
ตามตัวเอกในหนังสือของ ม.ร.ว. ศึกฤทธิ์ ปราโมช นั่นเอง
ซึ่งมอมของผู้เขียนนั้นดุมาก มอมจะจำคนบางคนที่มันไม่ชอบหน้าได้
เวลาเจอหน้าค่าตากันทีไรมันจะเห่าทุกครั้ง บางทีเขาปั่นจักรยานหรือขี่มอเตอร์ไซค์มา
เจ้ามอมก็มักวิ่งตุเลงๆ ไล่กวดแล้วเห่าขรม ยังดีที่มันไม่กัดโดน
แต่แล้ววันหนึ่งเจ้ามอมก็กัดงับโดนเต็มๆ ทำเอาพ่อของผู้เขียนต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ส่วนแม่ก็ต้องออกเงินค่ารักษาตามสมควร จากเหตุการณ์นี้จึงทำให้จำต้องซื้อโซ่มาล่ามเจ้ามอมไว้บางเวลา
ตอนนั้นผู้เขียนก็สงสารมันจับจิต เลยแอบปล่อยมันให้อิสระบ่อยครั้ง หรือไม่ก็พาไปเดินเล่นกับพรรคพวกบ้าง

เมื่อเจ้ามอมโตได้สักหนึ่งปีกว่า มันก็คงได้พบรักกับหมาสาวแน่ๆ เพราะตกกลางคืนที่ล่ามโซ่มันไว้
มอมจะร้องและหอนตลอดเพราะเกิดอาการติดสัด
ซึ่งคืนไหนถ้าไม่ล่ามมันไว้ มอมก็จะหายไปจากบ้านสองสามวัน บางคราก็หายหัวไปร่วมสี่ห้าวัน
พอมันกลับมาก็ผอมโซมาเชียว ช่วงติดสัดนี้ เจ้ามอมจะมาๆ หายๆ เป็นประจำ
บางคนก็บอกว่ามันไปติดหมาตัวเมียบ้านโน้น
บางคนก็แจ้งว่าเห็นมันไปป้วนเปี้ยนเฝ้าคลอเคลียหมาสาวแถวบ้านนั้น

เรื่องที่ผู้เขียนจำได้ติดตาและสนิทใจมาก ก็คือ เจ้ามอมไปกัดเด็กเข้า แล้วพ่อแม่เด็กจะเอาเรื่องยกใหญ่
โดยจะวางยาเบื่อมันให้ตาย ซึ่งที่สุดทางพ่อแม่ผู้เขียนก็เจรจาคุยจนจบเรื่องได้
แต่...แต่ต้องเอาเจ้ามอมไปปล่อย เพราะกลัวมันจะไปกัดเด็กคนอื่นเข้าอีก
ซึ่งแน่นอนพลันที่ตัดสินใจไปเช่นนั้นแล้วความเศร้าหมองก็แผ่ปกคลุมไปทั่วบ้าน
เวลาที่ได้เลี้ยงและได้อยู่กับเจ้ามอมมานั้นไม่เคยไร้ค่าเลย มันได้สร้างสะพานเชื่อมเล็กๆ ให้คนในครอบครัว
ทุกคนล้วนมีความผูกพันกับมอม แต่เพื่อไม่ให้คนในชุมชนเกิดความรู้สึกไม่ดี หรือบาดหมางแคลงคลางใจกัน
ทางเลือกหนึ่งเดียวคือเอามันไปปล่อยดีกว่าให้มันโดนเบื่อยาตาย
ซึ่งคนในชุมชนที่รักและเอ็นดูเจ้ามอมก็มี พวกที่ไม่ชอบหรือกลัวมันจะไปกัดลูกหลานเขาเข้าก็มีเช่นกัน

เมื่อตัดสินใจที่จะเอาเจ้ามอมไปปล่อย...
ผู้เขียนจำได้ไม่ลืมว่าร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก น้ำตาแอบสองแก้ม เพราะเป็นคนอุ้มมันตั้งแต่ตัวเล็กๆ มาเลี้ยง
ทั้งที่พ่อแม่ก็คัดค้านเสียงแข็ง แต่ด้วยวัยขนาดนั้นผู้เขียนก็ย่อมอยากมีสัตว์เลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ บ้าง
อยากมีเพื่อนต่างพันธุ์ไว้เล่นสนุกยามอยู่กับบ้าน ชอบที่จะลูบหัวมัน เพลินที่จะหาเห็บให้มัน
หรือลากถูลู่ถูกังพามันไปอาบน้ำ ชวนมันไปกระโดดน้ำคลองเล่นบ้าง
ยามที่พาเจ้ามอมไปเดินเล่น มันจะชอบมาก และกระดิกหางอย่างดีใจล้นเหลือ

วันที่พ่อเอาเจ้ามอมไปปล่อยนั้น บรรยากาศในบ้านอึมครึมและวังเวง 
ทุกคนพลอยซึมเศร้าแลหมดชีวิตชีวา แม้แต่สายลมยังนิ่งสงัด
พ่ออุ้มเจ้ามอมขึ้นรถแล้วนำไปปล่อยห่างจากบ้านราวห้ากิโลเมตรได้ 
หลังจากนั้นราวสามวัน...
เจ้ามอมก็กลับมาบ้านถูก มันมาถึงในสภาพผอมโซ ตัวมอมแมมและกลิ่นเหม็น
ผู้เขียนรู้สึกดีใจอย่างสุดจะกล่าว รีบหาข้าวให้มันกินทันใด
แล้วจัดการอาบน้ำให้สะอาด ถึงขนาดเอาแป้งน่ารักพรมโรยฟุ้งไปทั่วตัวมันให้หอมๆ
วันนั้นผู้เขียนให้สุขแสนอุราและเริงร่าจริงๆ

แต่ชะตาของเจ้ามอมก็หาได้กำหนดด้วยตัวมันเอง แม้นจะผูกพัน รัก หรืออาลัยมันเพียงใด
แต่ด้วยวิถีชีวิตบ้านนอกท้องถิ่นที่ต้องเคารพกัน เพื่อความเป็นระเบียบและสงบของสังคมเล็กๆ
ที่สุดเจ้ามอมก็ต้องถูกนำไปปล่อยอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันจะถูกคลุมกระสอบเพื่อไม่ให้จำทางได้
และจะต้องไปปล่อยให้ไกลกว่าครั้งก่อน...

ช่วงเวลานั้น น้ำตาพลันไหลเปื้อนแก้ม ท้องฟ้าแลดูเป็นสีเศร้าหม่น

"แม่ครับ อย่าเอามอมไปปล่อยเลยนะ หนูสงสารมัน"
"ไม่ได้จ๊ะ ลูก พ่อผู้ใหญ่แจ้งมาว่ายังไงๆ ก็ต้องเอามันไปปล่อย"
"แล้วมันจะอยู่ยังไงครับ มันจะกินอะไร เดี๋ยวมันก็โดนหมาตัวอื่นกัดแน่ๆ"
"พ่อบอกว่าจะเอาไปปล่อยที่วัด มันไม่อดหรอก"
"แต่แม่ครับ ให้มอมอยู่บ้านเราเถอะนะ หนูจะดูไม่ให้มันกัดใครอีก"
"ลูกเอ๋ย... ตัดใจจากมอมนะ แล้วตั้งใจเรียนดีกว่า"

ในที่สุดเจ้ามอมก็ถูกนำไปปล่อยเป็นหนที่สอง

ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์...
จู่ๆ เช้าวันหนึ่งก็เจอเจ้ามอมมานอนหมอบราบอยู่หน้าบ้านในสภาพที่ผอมโกรก อิดโรย และสกปรก
มันกลับมาได้อีกครั้ง กลับมาเยี่ยงนักพเนจรที่ไปท่องมาไกลสุดหล้า มันกลับมาแล้ว มอมกลับมาแล้ว
ทุกคนในบ้านพากันอึ้ง ประหลาดใจ และรู้สึกหลากหลาย

สุดท้าย เจ้ามอมก็ได้กลับคืนสู่บ้านของมัน ไม่มีใครคิดเรื่องจะเอามันไปปล่อยอีกเลย
ทุกคนยอมรับว่ามันคือหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเหมือนเดิม โดยไม่สนใจว่าใครจะมาวางยาเบื่อมัน
ใครจะตำหนิต่อว่าหรือทวงถามที่ยังเอาเจ้ามอมไว้อยู่...ก็ต้องชี้แจงเหตุผลไป...หมาก็มีหัวใจนะ
ซึ่งหัวใจ ความรัก และความซื่อสัตย์ของมันนั้นสุดยากสรรหาคำใดมาเปรียบเปรย
พวกเราไม่ใส่ใจว่าคนอื่นๆ จะคิด นินทา หรือสาปแช่งครอบครัวเราเช่นไร
ใครจะใจดำเอามันไปปล่อยทิ้งอีกล่ะ ในเมื่อเจ้ามอมได้พิสูจน์ว่ามันมีบ้าน...มีครอบครัว...

หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่ปี เจ้ามอมก็ตายตามอายุขัย
โดยผู้เขียนเป็นคนแบกจอบไปขุดหลุม แล้วอุ้มมันฝังด้วยตัวเองทั้งน้ำตา
พร้อมกับพร่ำบอกตัวเองว่าจะไม่ขอเลี้ยงสัตว์ใดๆ อีกเลย ไม่อยากเห็นมันด่วนมาจากไปก่อน

หลับให้สบายนะ...มอม, เพื่อนยาก

.