30 กรกฎาคม 2555

Dead สัจธรรมแห่งชีวิต

บางคราที่อ่อนแรง ท้อแท้ ไร้หนทาง เหนื่อยล้า กลัดกลุ้ม เหงาหงอย และคิดมาก
ผมเคยคิดอยากจบชีวิตตัวเองเช่นกัน ปรารถนาหยุดลมหายใจสุดท้ายอย่างสงบ
ไม่ต้องการอยู่บนโลกใบนี้ หรือมีชีวิตเพื่อพานพบเหตุการณ์ข้างหน้าที่มิอาจรู้...

ทั้งที่เคยดูข่าวทางทีวี หรือได้อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการที่คนคิดสั้นแล้วฆ่าตัวตาย
เขาหรือเธอไยถึงกล้ากระทำอัตวินิบาตกรรมต่อตัวเองเช่นนั้น ภาวะจิตใจขณะนั้นประสบสิ่งใดมา
ผิดหวังในความรักหรือไร-- เอนทรานซ์ไม่ติดหรือไร-- มีหนี้สินมากมายหรือไร--
ล้มเหลวในอาชีพการหรือไร-- หรือมีโรคร้ายรุมเร้า-- หรือเพราะโลกนั้นไม่น่าอยู่--?


หากแม้นว่าชีวิตหนึ่งจบสิ้นไปก็คงเป็นเหตุการณ์น่าตกใจชั่วครู่ก่อนที่จะเลือนหายและหลงลืม
คนตายก็หมดกรรมหรือว่าต้องไปชดใช้กรรมใช้เวรที่ไหนหรือไม่นะ
หรือยังต้องกลับมาเกิดใหม่ในชาติหน้าอีก ขณะคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องขวนขวายและสู้กันต่อไป
ล้มแล้วลุก ล้มแล้วนอน หรือบางทีล้มแล้วก็ไม่อยากลุก ไม่อยากสู้ ไม่ต้องการเดินอีก
ในเมื่อมองไปข้างหน้ายังไม่เห็นหนทางสดใส ไม่เห็นแสงสว่างที่จะนำออกไปจากความมืดทมิฬ
ทั้งไม่รู้ว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา หรือดุ่มๆ เดินลุยดะไปข้างหน้าให้รู้แล้วรู้รอด

บ้างก็กล่าว่า "ชีวิตย่อมมีทางออกเสมอ" ถ้าไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้

คนทุกคนเป็นสิ่งที่ต้องตาย ไม่มีใครสักคนเดียวจะอยู่ค้ำฟ้าได้
สิ่งทั้งหลายที่เราเอามาไว้ในครอบครอง และร้องบอกว่า "ของกู ของกู" อยู่นั้น
เราจะเอาไปสักชิ้นเดียวไม่ได้เลย

"ยศและลาภหายไปไม่ได้แน่
เหลือไว้แต่ต้นทุนบุญกุศล
ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน
ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ"

ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เรากอบโกยกันอยู่นั้น เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง
เพราะถ้ามันเป็นของของเราจริง มันก็ต้องติดตามตัวเราไปด้วยตลอดเวลา
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้อุบัติขึ้นเพื่อให้มนุษย์ได้ชื่นชม มิใช่เพื่อให้ใครเป็นเจ้าของ
แม้นจะมีสิทธิครอบครองอยู่บ้าง ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว มิได้ครอบครองได้ตลอดไป
และเป็นการครอบครองเพียงเพื่อจะได้ชื่นชมเท่านั้น...

เกิดนั้นยาก ตายอาจง่ายกว่า ทว่าเกิดมาแล้วจะยอมตายง่ายๆ เท่านั้นหรือ
โลกใบนี้ยังมีสถานที่อีกมากมายที่ยังไม่ได้ไปเที่ยวตุเลงๆ เลย
หรือยังมีอะไรๆ อีกหลายสิ่งอย่างอย่างที่ยังไม่ได้ทำ และก็วาดหวังว่าสักวันจะได้ทำ

***

และเมื่อได้อ่านที่ สมเด็จพระสังฆราช ท่านนิพนธ์ไว้ยิ่งทำให้ได้คิดมากขึ้น

การฆ่าตัวตายทุกวันนี้ที่มีมากกว่าปกติ
ไม่เพียงเกิดจากความทุกข์ร้อนมากมายหนักหนาที่ท่วมทับชีวิตจิตใจเท่านั้น
แต่ที่จริงเกิดเพราะความไม่มีเมตตาด้วย
ไม่สงสารจิตใจผู้ที่จะต้องได้รับจากการฆ่าตัวตายของเราด้วย

แม้คิดสักนิดย่อม จะเห็นความใจดำ ไม่มีเมตตาของบรรดาผู้ฆ่าตัวตายทั้งหลาย ไม่นึกสักนิดเลย
ว่าถ้าตนเป็นลูกเมื่อลูกต้องตายไปอย่างน่าสยดสยอง จิตใจแม่พ่อจะเป็นอย่างไร
สงบเป็นสุขอยู่ที่เช่นนั้นหรือ น่าจะเคยอ่านพบข่าว หรือไม่ก็น่าจะเคยเห็นภาพในหนังสือพิมพ์
พ่อแม่ที่ฟูมฟายใจแทบขาดตามไปเมื่อเห็นศพของลูกหลาน

โดยเฉพาะที่ฆ่าตัวตาย และก็จะอีกนานนักหนากว่าความโศกเศร้าแสนสาหัสจะจบสิ้นไปตามกาลเวลาคนฆ่าตัวตายนั้นบาปหลายต่อทีเดียว บาปที่ทำกับตนเองก็แน่นอน ทำกับตนได้นักหนา
ถึงทำลายชีวิตให้จบสิ้นอย่างเจ็บปวด จะไม่บาปได้อย่างไร เพียงเบียดเบียนทำร้าย
ไม่ถึงประหัตประหารผลาญชีวิต ก็ยังต้องเป็นบาปและแม้เป็นการฆ่าคนถึงตาย
ยิ่งคนนั้นเป็นตัวเองด้วย ก็พึงรู้เถิดว่ากรรมนั้นหนักนัก

จะหนีผลของกรรมไม่พ้นแน่นอน และอย่าประมาทว่าผลของกรรมไม่น่ากลัว รับได้สบาย
ก็ถ้ารับผลของกรรมไม่ดีได้สบายจริง ไฉนจึงทนรับความทุกข์ในชาตินี้ไม่ได้
ต้องพาตัวหนีไปให้พ้นด้วยการฆ่าตัวตายเล่า ทุกข์ในชาตินี้ที่พากันได้รับ
คือผลของกรรมที่ทำไว้เองแน่นอน คิดให้ดีๆ เถิด จะได้ไม่ฆ่าตัวตาย
จะได้ไม่ต้องไปรับความทุกข์แสนสาหัสอีกในภาพชาติหน้า ที่มีแน่อย่าสงสัย

การฆ่าตัวตายเป็นการแสดงความมีใจไร้เมตตาอย่างยิ่ง ไม่สงสารตัวเองก็แย่อยู่แล้ว
แต่ยังดี ยังไม่เป็นไร เพราะคิดเสียว่าไม่อยากให้ตัวเองรับความทุกข์แสนสาหัสในชีวิต่อไป
ลองหนีไปชีวิตอื่น อาจจะสบายกว่า
คิดเช่นนี้ ก็พอเข้าใจว่า เพราะเมตตาตัวเองผิดคือคิดว่าเมตตา คิดว่าจะช่วยให้พ้นทุกข์
แต่ที่แท้กำลังพาไปสู่ความทุกข์ที่มากมาย และยาวนานกว่า เป็นหลายภพหลายชาติแน่นอน

.


23 กรกฎาคม 2555

Books เปิดร้านไลฟ์บุ๊ค

ในที่สุด...
ผมก็ตัดสินใจว่าจะเอาหนังสือที่เก็บสะสมร่วมนานไว้มาขาย
บางเล่มก็เป็นผลงานที่ทำสมัยเป็นกองบรรณาธิการบ้าง เป็นบรรณาธิการบ้าง เป็นพิสูจน์อักษรบ้าง
บางเล่มก็เสาะแสวงหาซื้อเก็บมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย บางเล่มก็มีลายเซ็นของนักเขียน
บางเล่มเวลาซื้อ ผมก็ชอบลงลายเซ็นตัวเอง เขียนถึงเวลาและสถานที่ที่ซื้อหนังสือเล่มนั้นๆ
บางเล่มก็รักมาก เป็นหนังสือในดวงใจ เป็นโลกแห่งความฝันและจินตนาการในวัยหนุ่ม


ผมนั่งมองชั้นหนังสือในห้องตัวเองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
คงได้เวลารื้อหนังสือมาปัดฝุ่น ทำความสะอาด ถ่ายรูปหน้าปก และนำลงเครื่องคอมพ์
เตรียมพร้อมที่จะทยอยประกาศขายทางออนไลน์
ชั้นหนังสือรกๆ ฝุ่่นจับเขลอะ ตราบนี้ไปคงค่อยๆ บางตาแล้วก็โล่ง ถ้าหนังสือขายได้นะ
แรกๆ ก็เลือกหนังสือที่จะเอามาขายอย่างลำบากใจ
เล่มในดวงใจ ชอบเป็นพิเศษ หรือมีความหมายในวัยหนึ่งๆ ก็ยังไม่รีบปัดฝุ่น
บางทีหยิบหนังสือบางเล่มขึ้นมาก็เสมือนย้อนระลึกถึงภาพในอดีตบางช่วงขณะได้
ประหนึ่งวันเวลาในกาลก่อนย้อนคืนมา

ผมไม่ใช่พ่อค้าด้วยจิตวิญญาณ ไม่มีสายเลือดนักบริหาร
ทั้งมิใช่ผู้ที่อยากแสวงหากำไรจากการค้าขายหนังสือ คือไม่มีหัวด้านธุรกิจแต่อย่างใด
ทว่า...เมื่อชีวิตเดินมาถึงช่วงหนึ่ง มาถึงทางแยกทางหนึ่ง หรือมาถึงทางตันมุมอับ
ก็จำต้องตัดสินใจกระทำบางสิ่งบางอย่าง
แม้นหนังสือที่เคยสะสมไว้แต่สมัยหนุ่มๆ จะเปี่ยมคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิตผมปานใด
ที่สุดแล้ว ชีวิตก็ควรต้องเลือกและตัดสินใจ พร้อมทั้งยอมรับชะตากรรมที่กำลังเผชิญ...

ผมเดินไปที่ชั้นหนังสือ มองสันปกแต่ละเล่มด้วยความอาลัยและเศร้าสร้อย
มือแทบอ่อนปวกยามหยิบเล่มใดออกมา ลึกๆ ในใจสั่นสะท้าน
บางเล่มก็ยากตัดใจเอามาขาย บางเล่มก็ช่างเสมือนเพื่อนยาก
บางเล่มเคยเป็นแรงบันดาลใจ บางเล่มเคยปลอบปลุกใจ บางเล่มอ่านไปก็ยิ้มไป
ขณะบางเล่มเป็นหนังสือในดวงใจ บางเล่มก็ดั่งความฝันอันไร้ขอบเขต
บางเล่มก็ประดุจดังโลกกว้างไกล...โบยบินในจินตนาการ

แต่ไม่ว่าเช่นไร ผมก็ต้องเอาหนังสือจากชั้นมาขายที่นี้โดยการตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
"ขายหนังสือมือสองสะสม" โดยประโยคนี้ ผมหมายความตามนั้นจริงๆ
ไม่ดัดจริตเสแสร้งหรือสร้างภาพลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหยิบเอามาจากชั้นหนังสือที่ผมสะสมไว้จริงๆ
ทั้งก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องมาขายมิ่งมิตรแห่งสวนอักษรที่รักด้วย
ฉะนั้น เรื่องตั้งราคาหนังสือ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแพงเกินไปไหม
หน้าเลือดเกินไปเปล่า หรือเห็นแก่ได้เกินไปหรือไม่
ถ้าลูกค้าท่านใดมีความคิดเห็นหรือรู้สึกเช่นไรก็พูดคุยกันได้ตรงๆ
หรือมีสิ่งใดจะเสนอแนะ บอกกล่าว หรือให้ความรู้  ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

โดยปรารถนาเต็มเปี่ยมให้หนังสือเหล่านี้ตกอยู่กับคนที่รักหนังสือเหมือนกัน
ใจหวังให้หนังสือทุกเล่มได้อยู่กับคนที่เห็นคุณค่าของมัน มีความสุขหรรษายามได้เปิดอ่าน
หรือชื่นชอบ ประทับใจ และอยากเก็บสะสมไว้...

อนึ่ง ผมไม่เคยขายของทางออนไลน์มาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่ลองสัมผัส หากท่านใดสนใจก็เชิญ "คลิก" แวะทักทายหรือเยี่ยมชมได้ที่...

CLICK


 

http://lifebook.lnwshop.com

ในฐานะพ่อค้ามือใหม่...
หากว่าร้านที่ผมทำแลดูไม่สวย ภาพไม่คลาสสิก บริการไม่คล่องแคล่ว ขาดตกบกพร่องประการใด
ก็ต้องขออภัยมา ณ ตรงนี้ด้วย เพราะมือใหม่จริงๆ จะค่อยๆ ปรับปรุงให้ดีขึ้น
ผมพร้อมน้อมรับความผิดพลาดและเต็มใจรับฟังความคิดเห็นจากทุกๆ ท่านด้วยความยินดีที่สุด
คิดว่าผมเสมือนเพื่อน เป็นมิตร เป็นพี่น้อง หรือเป็นลูกหลานก็ได้
ผมก็อยากเปิดใจ ทำความคุ้นเคย และสนทนากันด้วยมิตรภาพแห่งความเป็นคนไทยด้วยกัน
เพราะเรื่องชักชวนให้ซื้อ หรือโปรโมทการขายนั้น ผมไม่ถนัดจริงๆ
ขอบริการด้วยใจ ด้วยความซื่อสัตย์ และคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ...

.

20 กรกฎาคม 2555

Book ขายหนังสือสะสม

ในที่สุด...ผมก็ตัดสินใจว่าจะเอาหนังสือที่เก็บสะสมร่วมนานไว้มาขาย
ชีวิตอาจดำเนินมาถึงทางตัน ไม่มีทางเลือก และจำต้องยอมศิโรราบบ้าง
แม้นลึกๆ ในใจจะเสียดาย ทุกข์ทวี อาลัยอาวรณ์ หรือน้ำตาไหลซึม
ทว่าจะให้ทำเช่นไรได้ ในเมื่อถึงสิ้นเดือนทีไรก็มีรายจ่ายตายตัวทุกที หิวก็ต้องกิน
ของใช้ในชีวิตประจำวันหมดก็ต้องซื้อ เดี๋ยวนี้ตู้เย็นผมมีแค่ขวดน้ำเปล่าแช่เท่านั้น

หนังสือที่ผมสะสมเก็บไว้...
บางเล่มก็เป็นผลงานที่ทำสมัยเป็นกองบรรณาธิการบ้าง
เป็นบรรณาธิการบ้าง เป็นพิสูจน์อักษรบ้าง (ทำงานอยู่แต่หนังสือตลอด)
บางเล่มก็เสาะแสวงหาซื้อเก็บมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
บางเล่มก็มีลายเซ็นของนักเขียนประทับไว้ให้หวนระลึก
บางเล่มเวลาซื้อ ผมก็ชอบลงลายเซ็นตัวเอง เขียนถึงเวลาและสถานที่ที่ซื้อหนังสือเล่มนั้นๆ
บางเล่มก็รักมาก เป็นหนังสือในดวงใจ เป็นโลกแห่งความฝันและจินตนาการในวัยหนุ่ม

เราเกิดมาตัวเปล่า เวลาตายก็ไปตัวเปล่า ไม่สามารถเอาสิ่งใดๆ ที่ยามมีชีวิตสร้างไว้ไปได้ด้วย
ถึงแม้ผมจะเสียดายหนังสือสุดแสน พยายามทำใจ และสรรหาเหตุผลต่างๆ นานาที่จะไม่ขาย
ทว่าที่สุดนั้น ก็ต้องยอมรับความจริง น้อมรับชะตากรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้
ทั้งที่ก็พยายามหางาน หาจ็อบงาน ดั่งที่เขียนใน รับจ้างพิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์)  แล้ว
หางานในที่นี้ ก็มีส่งใบสมัครไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ บ้าง และก็ไปลงประกาศตามเว็บบ้าง

ผมนั่งมองชั้นหนังสือในห้องตัวเองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
คงได้เวลารื้อหนังสือมาปัดฝุ่น ทำความสะอาด เพื่อถ่ายรูปหน้าปก
แล้วเตรียมพร้อมที่จะทยอยประกาศขาย คงต้องหาเว็บฟรีเพื่อการณ์นี้ด้วย

ใจก็พานคิดไปว่า...ถ้าต้องขายหนังสือจริงๆ ก็อยากให้ตกอยู่กับคนที่รักหนังสือเหมือนกัน
ให้หนังสือได้อยู่กับคนที่เห็นคุณค่าของมัน หรือชื่นชอบและอยากเก็บสะสมไว้

ขอพลังจงสถิตกับทุกท่าน...

.


17 กรกฎาคม 2555

Time เหลือน้อยลงๆ

ไม่ว่ามนุษย์นามใดหรือเชื้อชาติใดย่อมไม่อาจมีชีวิตเป็นอมตะ นิรันดร์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมที่แน่แท้ ไม่มีใครหลีกพ้น
สักวันหนึ่ง...ลมหายใจต้องถึงกาลแผ่วเบาและหยุดสนิท
วันเวลาสุดท้ายของชีวิตหนึ่งที่สุดก็กลับคืนสู่สามัญ ดับสิ้น

ยามมีชีวิต ยามที่ลมหายใจยังระริน ยามที่ยังมีเรี่ยวแรงแข็งขัน
เราอาจมีเวลาทำอะไรๆ ได้มากมาย มีโอกาสจะทำสิ่งที่สร้างสรรค์และไร้สาระ
เราอาจร้องไห้ให้กับผีเสื้อที่แห้งตาย เราอาจหัวเราะให้กับแมวที่เล่นซุกซน
เราอาจยิ้มให้กับตัวเองโดยไม่มีเหตุผลอันใด
หรือเราอาจกู่ตะโกนเพื่อปลดปล่อยความในใจบางอย่างให้หลั่งไหลออกมา
ใช่, เราอาจแม้กระทั่งทำอะไรบ้าๆ เปิ่นๆ ยามอกหัก หรือร้องเพลงพึมพำอย่างเดียวดายได้

หลายๆ คนคงเคยผ่านห้วงที่เศร้าสุดแสน ผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ที่สุด ผ่านจังหวะชีวิตที่ตกต่ำสุดๆ
ขณะที่อีกหลายๆ คนพบพานเรื่องแสนโรแมนติก ประสบแต่ความสำเร็จงดงาม มีชีวิตอย่างสุขสบาย
ทว่าความสุขแท้จริงอยู่ตรงไหน ความสงบอยู่ที่ใด ความโลภจะสิ้นสุดเมื่อใด
ความสุขนั้นอยู่ที่ภายนอกหรือภายใน หรืออยู่ที่ความจนและความรวย...
การศึกษาสอนอะไรให้ผู้คนบ้าง ฉลาดขึ้น โกงขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้นหรือเปล่า--

โลกมีความน่ารักและความงดงามซ่อนเร้นทุกที่ มีไมตรีจิตบริสุทธิ์ที่พร้อมมอบให้แก่กันตลอด
ผู้คนก็มีความเห็นอกเห็นใจกันและพร้อมเสียสละเสมอยามเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเดือดร้อน
มือจับมือ ใจคล้องใจ ยามเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องการความช่วยเหลือจะไม่รีรอที่จะยื่นมิตรภาพให้
ผู้คนเกิดมาจะมีเวลาอยู่บนโลกนี้นานเท่าใดเชียว ๔๐ ปี ๕๐ ปี ๖๐ ปี หรือ ๘๐...๙๐ หรือ ๑๐๐ ปี

พูดถึงเรื่อง "เวลา" ทีไร ให้นึกถึงหนังสือนิยายเรื่อง "เวลา" ของนักเขียนนาม ชาติ กอบจิตติ ทุกที
วรรณกรรมที่ได้รับรางวัลรางวัลซีไรต์ปี  2537 และรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งชาติ ปี 2537

หรือเราย่างสู่วัยชราภาพเข้าไปทุกที ในวันที่เราแก่ตัวลงจะมีใครคอยดูแลเราบ้าง --
ติ๊กต่อกๆ เสียงนาฬิกาดังแผ่วๆ คล้ายถ่านใกล้จะหมดในอีกไม่ช้า...
นาฬิกาหยุดเดินยังเปลี่ยนถ่านก้อนใหม่ได้ ทว่าชีวิตที่ไร้ลมหายใจนั้นคงไม่มีถ่านจะเปลี่ยน

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า และปีแล้วปีเล่า
ในขณะที่ชีวิตคนเริ่มเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้น้อยลงๆ

.



13 กรกฎาคม 2555

Night ผ่านไปอีกคืน

ความมืดโรยคลุมแผ่นฟ้าหมองหม่น สายฝนโปรยปรายดั่งน้ำตารินไหล
ขณะที่บางชีวิตยังติดแหง็กบนท้องถนน บางคนอาจนั่งแช่อยู่ในร้านเหล้าอย่างเดียวดาย
บางครอบครัวพลันพร้อมหน้าร่วมรับประทานอาหารค่ำอย่างหรรษา
เล่าเรื่องกิจวัตรประจำวันอย่างออกอรรถรส 

ทว่าก็ยังมีอีกหลายชีวิตที่แบกความทุกข์ไว้เต็มบ่า
กอดรัดความเครียด หายใจแผ่วโผย
และไร้เสียงหัวเราะ

โลกยามค่ำคืน...อาจเงียบสงบ เปลี่ยวเปล่า หรือเคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ขณะแสงไฟจากหลอดนีออนแต่ละบ้านเรื่อเรืองประหนึ่งดวงดาราฉายจรัส
ชีวิตหลังจากเลิกงานกลับมาบ้านของแต่ละคนล้วนมีกิจกรรมหลากหลาย
บ้างก็นั่งดูละครจากโทรทัศน์ด้วยอย่างใจจดใจจ่อ บ้างก็สาละวนอยู่ในครัว
เด็กๆ อาจทำการบ้านหรือหยอกล้อเล่นกัน วัยหนุ่มสาวอาจโทรศัพท์หาคนรักด้วยความคิดถึง
คนเฒ่าคนแก่นั่งสวดมนต์ก่อนจะนิทราพักผ่อน หรือนั่งเก้าอี้โยกเพื่อใคร่ครวญถึงอดีต

โลกยามราตรี...อาจครึกครื้น พร่างพรายแสงสี หรือบรรเลงไปอย่างสนุกสนาน
กลิ่นอายโลกีย์ผสานเสียงเพลงอึกทึกปลุกเร้าความกำหนัดฟุ้งกระจาย
หญิงสาวบางคนเต้นโยกย้ายยั่วยวนชวนเคลิบเคลิ้มให้น่าเสพสังวาส
ขณะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่สายตาซุกซนโลมไล้ไปตามเรือนร่างอรชร ขาวนวล
ชีวิตหนึ่งหาเงิน อีกชีวิตหนึ่งหาความสำราญ ที่สุดสองชีวิตอาจตกลงกันไปต่อในวิมานฉิมพลี

โลกยามดึกดื่น...บางชีวิตก็หนาวเหน็บ เปียกปอน และไร้ที่นอน
ป้ายรถโดยสารประจำทางอาจคือเตียงแสนนุ่มของคนจรจัดไร้ราก
กลิ่นเยี่ยวโชยฉุน ยุงบินหวิวว่อน ฟ้าแลบแปลบปลาบ

ไร้บ้าน ไร้เพื่อน ไร้คนรัก
มีเพียงอาณาจักรแห่งความฝัน
โลกดูโหดร้ายหรือไม่อยากเข้าใจมัน
หรือสวรรค์นั้นอยู่ในที่แสนไกล...

คืนดึกหนึ่ง อาชญากรซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อรอเหยื่อที่หลงทาง
ขณะสายฝนหยุดตกไปนานแล้ว...

.



9 กรกฎาคม 2555

Day ผ่านไปอีกวัน

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน...

 
วันผ่านคืน คืนผ่านวัน แสนวังเวง
ยินแต่เพียงเสียงเพลงแว่วหวิวไหว
คืนผ่านวัน วันผ่านคืน แสนขื่นใจ
เพียงหลับตาคราใดให้ปวดร้าว...



บางที ชีวิตคนเราก็เรื่อยเปื่อยไปวันๆ มองนาฬิกาเดินไปอย่างเชื่องช้า
สมองพลันคิดโน่นคิดนี่จิปาถะ วายวุ่น ที่สุดก็เลิกคิดแล้วมองโลกด้วยความเป็นจริง
บางขณะ จิตใจก็เศร้าโศก ให้รู้สึกอ่อนแอ เหม่อมองท้องฟ้าทะมึนหม่น
จินตนาการถึงสถานที่บางแห่ง ที่ที่ไม่มีความทุกข์หรือคราบน้ำตาเปรอะเปื้อแก้ม
บางครา ร่างกายก็หมดเรี่ยวแรง ให้เหนื่อยหน่ายต่อทุกสรรพสิ่ง จ้องใบไม้เหี่ยวแห้ง
ฝันถึงบ้านเกิดที่ห่างไกล คิดถึงอ้อมกอดของบุพการี หวนระลึกถึงวัยเยาว์...

ชีวิตในเมืองหลวงที่พลุกพล่านด้วยผู้คน รถรา และตึกใหญ่ ใช่ว่าจะเนรมิตความสุขได้เสมอไป
เราอาจเป็นคนแปลกหน้าต่อกันท่ามกลางท้องถนน เราอาจคือคนมอมแมมในห้างสรรพสินค้าใหญ่
ทั้งเราอาจเป็นคนไม่มีค่าหรือไม่มีตัวตนในร้านเหล้ากลางใจเมืองศิวิไลซ์

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน...
ขณะเดินคอตกและกำเศษสตางค์ไปซื้อไวไวกับไข่ไก่เพื่อประทังชีวิต
ข้าวสารหมดถุง ท้องร้องโอ๊กอ๊าก หมดพลังไฟครุ่นคิดใดๆ เหลือเพียงลมหายใจแผ่วโหย

ผ่านไปอีกวัน... ล่วงสู่คืน...

ฉันฝันว่าฉันตาย



ฉันอยากหลับโดยนิรันดร์...

.

4 กรกฎาคม 2555

Love ตะกอนตกค้าง

ทิ้งช่วงการอัพเดทบล็อกนี้ไปพอควร ด้วยปัจจัยชีวิตหลายๆ ด้าน
กอปรกับบล็อก Open Life นั้น ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกในการเขียนพอควร
กว่าจะบลิ้วและพลิ้วได้ดั่งใจคิด...กว่าจะตกตะกอนความความรู้สึกที่จะถ่ายทอด...

หลายๆ สิ่งหาได้เป็นเช่นใจนึกฝัน ชีวิตจำจรต้องอยู่กับความเป็นจริง
บางขณะก็มีเรื่องราวมากระทบใจให้ฉุกคิด ทบทวน และยอมรับ
ผู้เขียนบล็อกก็เป็นเฉกดั่งสามัญชนทั่วๆ ไป เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนท่านทั้งหลาย
มีทั้งสุข ทุกข์ เหงา เศร้า ยิ้ม หัวเราะ และร่ำไห้...


ตั้งใจจะเขียนถึง "ความรัก" บ้าง แต่ทำไมนะ...พลังมันถดถอยสลายหาย
อารมณ์โรแมนติก อ่อนโยน หรือพลังไฟในความรักไปอยู่ ณ ที่แห่งใด
อายุมากขึ้นทำให้หัวใจหยาบกร้าน ความรู้สึกด้านชาในความรักแล้วหรือไร--
ทั้งๆ ที่ครั้นวัยหนุ่มสาวนั้น ความรักทำให้แทบคลั่งและเคยคิดสั้น---

สมัยหนุ่มๆ ความรักช่างคุโชน เปี่ยมปรารถนา ทั้งมองโลกในแง่งดงาม
ด้วยคิดว่าความรักนั้นมีคุณค่าเหลือคณา บริสุทธิ์นิรันดร์ และเติมเต็มชีวิตให้ยืนหยัดคงอยู่
ยามนั้น เมื่อมีแฟน เจอหญิงสาวที่ขโมยหัวใจไปได้ โลกช่างสดชื่นอาบอวลด้วยสีสัน
รักครั้งแรก...เป็นอะไรที่ยากแก่การอรรถาธิบาย หรือบอกเล่าจำนรรจาด้วยถ้อยคำใดๆ
เสมือนสวนดอกไม้ได้เบิกบานสล้างอยู่ในใจป่านนั้น ทำให้ชีวิตมีพลังและมีมุมมมองที่สวยงาม

แต่เมื่อความรักครั้งแรกประสบกับความล้มเหลว มิอาจไปกันได้ ที่สุดต้องเลิกร้างและห่างไกลกัน
ชีวิตพลันอ่อนแรง หัวใจพลันหมองเศร้า น้ำตาพลันไหลริน หมดอาลัยตายอยากดื้อๆ
ยามนั้น มองความรักแบบหนุ่มสาวมากกว่าที่จะให้ค่าความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก...

สมัยหนุ่มๆ ผู้เขียนบล็อกชอบบางส่วนจากหนังสือ The Prophet
สำนวนฉบับภาษาไทยก็คือ "ปรัชญาชีวิต" ของ คาลิล ยิบราน ที่ถอดความโดย ระวี ภาวิไล

เมื่อความรักร้องเรียกเธอ จงตามมันไป แม้ว่าทางของมันนั้น
จะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบกายเธอ
จงยอมทน แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น...

 ความรักไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และไม่ยอมถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก...

จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง
แต่ขอให้แต่ละคน มีโอกาสในการอยู่โดดเดี่ยว
ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้น
ที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันมากนัก
เพราะว่าเสาของวิหาร ก็ยืนอยู่ห่างกัน
และต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้...

.