28 กันยายน 2555

Real ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

เล่าไปเรื่อยเปื่อย...เพ้อพร่ำไปอย่างปวกเปียกและแปลกเปล่า
นั่งพิมพ์ไปอย่างเศร้าๆ ด้วยดวงใจแสนห่อเหี่ยวหดหู่
สมองมีเรื่องมายมายให้ขบคิด คำนึง และเครียดขึงยิ่ง

นี่ถ้ายังทำงานประจำอยู่ วันนี้เงินเดือนก็ออกแล้ว หัวใจพองโตทุกๆ สิ้นเดือน
วันเงินเดือนออกทีไร ให้รู้สึกเริงร่ารื่นรมย์ได้ชั่วขณะหนึ่ง
อย่างน้อยๆ ก็มีเงินจับจ่ายใช้สอย หาของกินอร่อยๆ หรือแวะห้างเพื่อซื้อของใช้เข้าห้องบ้าง
แต่นี่... ณ ปัจจุบันนี้... กลับต้องต้มไวไวกินเป็นมื้อที่สอง ขณะบิลรายจ่ายวางแหมะนิ่ง
ผมไม่มีกะจิตกะใจจะเปิดดูยอดชำระต่างๆ ทั้งค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าเน็ต ค่าไฟ
โอ้! ไหนจะค่าผ่อนคอนโดอีก โอ้ย...เครียดๆ กลุ้มๆ

เดือนนี้รอดมาได้ก็เพราะเอ่ยปากยืมเงินรุ่นพี่คนหนึ่งมา ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจ่ายคืนเขาได้เมื่อไหร่
การเป็นหนี้คนอื่นนี่ก็ทุกข์ได้เช่นกัน ทั้งทุกข์ทั้งเครียดเจียนจะบ้า
หมดสิ้นกำลังใจจะทำอะไร สูญเสียความมั่นใจที่จะดำรงชีวิตเยี่ยงสุจริตชน
อยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด อยากจบชีวิตตัวเองไว้เพียงวัยเท่านี้

วาดหมายเรื่องงาน พิสูจน์อักษรฟรีแลนซ์ หรือ บรรณาธิการอิสระ จากสำนักพิมพ์สักที่
เผื่อว่าสำนักพิมพ์ไหนจะส่งงานให้ผมรับใช้บ้างสักเดือนละเล่มสองเล่ม
ก็ดูเหมือนว่าจะไร้วี่แวว ไร้โอกาส ไร้ที่ใดเมตตา ไร้คนเห็นใจ ซึ่งก็ทำใจไว้แล้ว
โลกความจริงกับโลกความฝันนั้น บางทีก็ต่างกันและอาจเป็นทางคู่ขนานที่ไม่มีวันบรรจบได้
แต่ก็ช่างเหอะ...ร้องแรกแหกกระเชอไปก็เท่านั้น จำไว้...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

คงจำกันได้จากบทความโพสต์ก่อนๆ ที่ผมเขียน Resume ไปหาสำนักพิมพ์ต่างๆ
ซึ่งมีทั้งตอบรับ เงียบสนิท และดูเหมือนว่าอาจได้งาน
ทว่าที่สุดแล้วโลกแห่งความจริงก็คือสิ่งแท้แน่นอน เป็นโลกที่ซับซ้อนและยากเข้าใจ
ด้วยอาจเป็นสังคมแห่งเส้นสาย พรรคพวก หรือระบบกลไกทางธุรกิจล้วนๆ ที่ยึดกำไรเป็นสรณะ
ซึ่งคนจนๆ หรือคนด้อยโอกาสคงไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ ต้องยอมรับและก้มหน้าให้ต่ำไว้...

หลายเดือนมานี้... ผมอยู่อย่างลำเค็ญ กระเหม็ดกระแหม่ ทว่าก็ยังมีความหวังเล็กๆ อยู่เสมอ
ขนม นม ผลไม้ ไอศกรีม หรือของกินดีๆ สำหรับผมที่ผ่านมานั้นไม่เคยได้ลองลิ้นชิมรสเลย
ช็อกโกแลตรสชาติเป็นยังไงนะ มะม่วง ฝรั่ง องุ่น แอปเปิ้ลจะอร่อยละมุนลิ้นเช่นไรหนอ
ด้วยชีวิตการกินในหลายเดือนนี้วนเวียนอยู่กับแกงถุง ไข่ไก่ ปลากระป๋อง ไวไว มาม่า และน้ำเปล่า
ซึ่งบ่อยครั้ง...ผมก็ถามตัวเองว่าทำไมถึงยังทนอยู่ในเมืองหลวงอีกนะ
ทำไมๆ ถึงยังอยากมีลมหายใจอยู่ ทำไมๆ ไม่หาวิธีฆ่าตัวตายให้จบๆ สิ้นไป...


ก็เพราะ "แม่" ที่ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
อยากมีเรื่องราวดีๆ มีอาชีพดีๆ มีเงินพาแม่ไปเที่ยวโน่นกินนั่น อยากให้แม่ภูมิใจในตัวลูกคนนี้
ที่สำคัญการให้แม่มางานศพลูกคงเป็นเรื่องที่แสนปวดร้าวใจนัก

ผมไม่ได้ต้องการรวย หรือปรารถนามีเงินทองมากมายแต่อย่างใด
แค่อยากมีพื้นที่ยืนในสังคม มีงานทำที่สุจริต และมีเงินพอสร้างความฝันเล็กๆ บ้าง
หรือถ้าโชคดีมีทรัพย์ ผมตั้งเจตนาว่าจะช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส คนที่สังคมทอดทิ้ง
คนที่โลกไม่เหลียวแล กระทั่งสัตว์โลกที่มนุษย์ไม่ต้องการ ทว่านั่นก็เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ

สิ้นเดือนนี้...ผมยังไม่มีเงินจะจ่ายค่าต่างๆ แต่อย่างใด
ครั้นจะให้ไปหยิบยืมเงินจากใครก็ให้เกรงใจยิ่งยวด เพราะผมไม่รู้ว่าจะมีปัญญาใช้คืนเมื่อไหร่
ได้แต่หวังว่าจะมีงานเข้ามาให้ทำบ้าง เพราะหากมีงานก็หมายถึงต้องได้เงิน

บอกตรงๆ ว่าตอนนี้...ผมคิดถึงแต่เรื่องความตายเท่านั้น
เพราะจะให้ทำสิ่งผิดกฎหมาย หรือไปปล้นจี้ชิงทรัพย์ใครนั้น ผมทำไม่ลงหรอก ใจไม่ถึง
กลัวติดคุก กลัวบาปกรรม และไม่อยากให้แม่เสียใจที่เห็นลูกกระทำตัวเป็นคนเลว

หากว่า...วันหนึ่งบล็อกนี้ หรือบล็อกไหนๆ หรือร้านหนังสือที่ผมทำไว้นั้น
ไม่มีการอัพเดทเนื้อหา ไม่มีความเคลื่อนไหว หรือนิ่งสนิท หรือหายไป (เพราะผมลบทิ้ง)
นั่นอาจเป็นวันที่ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกหรือในสังคมไทยแล้วก็ได้...
มันก็แค่การตายของคนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

ลาก่อน...





26 กันยายน 2555

Read หนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน

เล่าไปเรื่อยเปื่อย...เริ่มป้อแป้ ปวกเปียก และสะเปะสะปะอีกครา
สามวันดีสี่วันไข้ ผลุบๆ โผล่ๆ ตามประสาอารมณ์คนเกียจคร้านที่แก้ยาก
ขณะวิถีชีวิตก็ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าที่สุดจะลงเอยเฉกเช่นไร

Read...นั่งทบทวนคนเดียวว่าเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งๆ ที่ก็มีเวลาว่างมากมาย
ไฉนไม่คิดอยากหยิบหนังสือบางเล่มที่เคยตั้งเจตนาว่าจะอ่าน...
เคยคิดว่าสักวันหนึ่ง วันที่ว่างๆ หรือยามแก่ชราจะต้องอ่านหนังสือวรรณกรรมเหล่านี้
- ผลพวงแห่งความคับแค้น ของ จอห์น สไตน์เบ็ค
- จินตนาการไม่รู้จบ ของ มิฆาเอ็ล เอ็นเด้
- เงาสีขาว ของ แดนอรัญ แสงทอง (อยากอ่านรอบสอง)
- เหยื่ออธรรม ของ วิคเตอร์ ฮูโก
- พี่น้องคารามาซอฟ ของ ฟีโอโดร์ ดอสโตเยสกี
- ดอนกิโฆเต้แห่งลามันซ่า ของ มิเกล์ เด เซร์บันเตส ซาเบตร้า

สักวันหนึ่ง...คงได้หยิบมาอ่านนะ
ทว่าที่สุดก็ยังผัดวันประกันพรุ่งเช่นเคย
กล่าวได้ว่ามีข้ออ้างสารพัดที่จะหยิบยกเพื่อแก้ตัวให้ตนเองเสมอ
ก็ไม่รู้หากวันหนึ่งต้องตายไปจริงๆ คงอดอ่านหนังสือเหล่านี้แน่ๆ
ทั้งยังมีหนังสืออีกมากมายที่ต้องการจะอ่าน...อ่าน...และอ่าน...

ทุกวันนี้ เราอยู่กับคอมพ์หรือโน้ตบุ๊กมากเกินไปหรือเปล่า
ชอบท่องเน็ตเกินเลยและเสพติดโลกออนไลน์จนหลงลืมอะไรไปบ้างไหม
วันและคืนที่ผ่านไปนั้น...เราทำอะไรอยู่ เรามัวแต่อ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อยๆ
เดือนและปีที่ผ่านไปนั้น...เราอายุมากขึ้น ขณะเวลาแห่งชีวิตเริ่มเหลือน้อยลง

จริงๆ หยิบหนังสือที่อยากอ่านมาสักเล่ม แล้วอ่านแค่วันละยี่สิบสามสิบหน้าก็ทำได้
หรือว่าหัวใจไม่นิ่ง อารมณ์ในการอ่านไม่ก่อเกิด สมองก็แออัดไปด้วยปัญหาสารพันร้อยแปดพันเก้า
ถ้าว่ากันตามจริง เราอาจหลงอยู่ในมายาวัตถุ วนเวียนในสังคมทุนนิยม และติดกับลึกในเมือง

วาดฝัน...ว่าสักวันหนึ่งหากชีวิตได้มีโอกาสและวาสนาอยู่ในบ้านนอกชนบท
มีบ้านหลังเล็กๆ มีครอบครัวที่อบอุ่น ประกอบอาชีพอิสระ และอยู่กินอย่างพอเพียง
จะผูกเปลนอนใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับหนังสือดีๆ สักเล่ม แล้วนอนอ่านอย่างมีความสุข
อ่านไปหลับตาไปบ้าง อ่านไปก็พักมองมวลเมฆบนฟ้าบ้าง อ่านไปก็ฟังเสียงธรรมชาติรอบตัวบ้าง

ก็ได้แต่ฝันไปเรื่อยเปื่อย...
สักวันคงได้อ่านหนังสือที่อยากอ่านนะ หากไม่ Close Life ซะก่อน...

เกือบลืมแนะนำบล็อกล่าสุด เกี่ยวกับ แนะนำหนังสือมือสอง เชิญๆ ครับ

.

20 กันยายน 2555

Keyword ของคนจนๆ

Open Life เล่าไปเรื่อยเปื่อย...เจื้อยแจ้วไปตามประสาคนตกงาน
ระหว่างที่ว่างๆ เข็มนาฬิกาเดินเอื่อยๆ เหมือนนักเดินทางผู้เหนื่อยล้านั้น
ผมก็ซุกซนชอบศึกษาเรื่อง SEO หรือการทำ Keyword เพื่อให้ติดอันดับ Google
นี่ก็ประกาศรับจ้างพิสูจน์อักษร หรือบรรรณาธิการเล่มเฉพาะกิจ แบบฟรีแลนซ์
แถมยังจะช่วยดูเรื่อง SEO ให้กับเว็บไซต์ของบริษัทที่จ้างผมด้วย...ยังเงียบฉี่
กล่าวง่ายๆ ว่า "ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง" หรือว่ายุทธภพนี้มียอดฝีมือมากมายนัก

Keyword  : ในเรื่อง SEO หมายถึงคำสำคัญที่คนมักใช้ค้นหาจาก Search Engine
เช่น คำว่า ผู้จัดการ ผลฟุตบอล ครีมมะหาด ไอโฟน หรือดารานักร้อง เป็นต้น
Niche keyword  : หมายถึง Keyword  ที่มีโอกาสสูงที่คนจะใช้ค้นหากับ Search Engine
โดยมีคู่แข่ง (ปริมาณผลการค้นหา) ไม่มากนัก หรือเป็นคำเฉพาะเจาะจง

เช่นนั้น... มาลองดู Niche keyword ของบล็อกผมกัน... (เล่นของฟรีล้วนๆ)
ก็นะ... คนตกงานและจนๆ อย่างผมจะเอาเงินที่ไหนไปจดโดเมนหรือเช่าโฮลดิ้งกันล่ะ
รบแบบอัตคัตขัดสนและเท่าที่มีปัจจัยพอ ทุบหม้อข้าวไปตายเอาดาบหน้าให้รู้แล้วรู้รอด

เริ่มที่ www.google.co.th กันเลย
ผมขอใช้ Keyword คำว่า "ข่าวฟอเร็กซ์" เพื่อเช็กบล็อก dreamtoforex.blogspot.com อันดับแรก

Dream to Forex / 20 กันยายน 2555
อืมมมม... ขึ้นมาอันดับ 3 ได้
แต่เดี๋ยวก่อน ลองเลื่อนไล่ดูไปเรื่อยๆ แบบ Open Life สักหน่อย
WOW!!! อันดับที่ 22 - 28 บล็อกเราติดเรียงคิวเลย ปลื้มๆ

Dream to Forex แบบมึนๆ

***

งั้นมาดูอีก Clip Like ของผมอีกสักหนึ่งบล็อก
ผมขอใช้ Keyword คำว่า "รวมคลิปประทับใจ" ละกัน
โอม! มะรุกกุ๊กกุ๋ยขะมุกขะมอมจงขุดคุ้ยผลการค้นหาให้เห็นเดี๋ยวนี้...

Clip Like / Happyhome 20 กันยายน 2555
 ***

จากนั้นลองมาดูร้านขายหนังสือมือสอง Life Book ของผมปิดท้าย
ซึ่งผมลองใช้ Keyword คำว่า "หนังสือมือสอง" แล้วหาไม่เจอ หล่นหายไปหน้าไหนหนอ--?
ต้องยอมรับว่าเป็นคีย์เวิร์ดที่แข็งใช่เล่น คงต้องใช้เวลาสักนิดเพื่อจะดันให้ติดหน้าแรก
ยิ่งผมไม่มีทุนสู้รบ ไม่มีเว็บไซต์จดโดเมนของตัวเอง ไม่มีคนช่วยเหลือ และหน้าใหม่
ก็ต้องยอมรับสภาพโดยปริยาย ก็สู้เท่าที่สู้ได้ เท่าที่ตัวเองไหว
งั้นผมขอใช้ Keyword คำว่า "หนังสือสะสมมือสอง" นะครับ

Life Book หนังสือสะสมมือสอง
***

นี่ยังไม่รวมถึงการใช้กูเกิลค้นหารูป Google รูปภาพ
หรือ Google ค้นบล็อก นะ

สุดท้าย...ก็เป็นกำลังใจให้กับผู้ยังไม่มีงานทำทุกท่าน
สู้ๆ กันต่อไป...

.


17 กันยายน 2555

SEO มือสมัครเล่น






เล่าไปเรื่อยๆ เปิดประตูแห่งชีวิตเพื่อพินิจความเป็นไปรอบๆ ตัว หรือรอบๆ ห้อง
ก่อนอื่น...ผมต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช่เทพเรื่อง SEO แต่อย่างใด
ก็อาศัยอ่านโน่นค้นนี่ ครูพักลักจำได้บ้าง ลืมบ้าง บางทีก็ต้องกลับไปทวนซ้ำทวนซาก
ว่าแล้วก็มาทวนโพสต์ ๔ ตอนที่ผ่านมาก่อนหน้ากัน เผื่อบังเอิญมีนักท่องเว็บผ่านทางแวะมาบล็อกนี้
ไล่ตั้งแต่ Resume แล้วก็ Resume (ต่อ) กระทั่ง Wait และที่สุดคือ Await

เห็นทีเดือนนี้คงวนเวียนปุ๋งๆ เรื่องสมัครงานพิสูจน์อักษรไปเรื่อยเปื่อยแหงๆ
หรือกระแซะๆ เรื่องสำนักพิมพ์บ้าง หรือว่าผมจะอดตายวันไหน คอนโดจะโดนยึดหรือไม่...
โอย...คิดแล้วแสนปวดใจเจ็บจี๊ด อยากสปีดตัวเองออกไปนอกโลกจัง

โพสต์ครั้งที่แล้วได้เกริ่นว่าจะกล่าวถึงเรื่อง SEO แบบงูๆ ปลาๆ ตามประสาคนตกงาน
ผมก็ลองรวบรวม อ่านจากคนนั้น ก็อปจากเว็บโน้น แล้วต้มยำแบบจืดๆ เพื่ออธิบายคร่าวๆ

SEO (เอสอีโอ) ย่อมาจากคำเต็มๆ ว่า Search Engine Optimization
ความหมายง่ายๆ ก็คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ และกระบวนการต่างๆ ของเว็บไซต์
ไล่ไปตั้งแต่การออกแบบ เขียนโปรแกรม และการโปรโมทเว็บเพื่อให้ติดอันดับต้นๆ ของ Search Engine
(เสิร์ชเอนจินก็เครื่องมือค้นหาเว็บไซต์ต่างๆ อย่าง Google, MSN, Yahoo, หรือ Bing เป็นต้น)
แล้ว SEO มีความสำคัญยังไง ควรจะสนใจ ใส่ใจ หรือทำความเข้าหรือไม่
ก็แหม...ในยุคปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่ใช้ Search Engine ในการสืบค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตกันมาก
แทนที่จะต้องพิมพ์ยูอาร์แอล (URL = Uniform Resource Locator ที่อยู่ของเว็บไซต์)
ก็ใช้ Keyword (คำค้น) ป้อนลงไปในเสิร์ชเอนจินซะเลย
เพื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว สะดวก และตรงประเด็น
และเมื่อค้นพบแล้ว ก็จะมีการแสดงผลออกมาหลายๆ หน้า หลายๆ เว็บไซต์
โดยเว็บที่ถูกแสดงเป็นอันดับที่ 1, 2, 3... หรือที่แสดงผลออกมาในหน้าแรกนั้น
ส่วนใหญ่แล้วก็จะถูกคลิกเข้าไปดูข้อมูลมากที่สุด คือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ เว็บไซต์ต่างๆ หรือบล็อกต่างๆ ย่อมปรารถนาให้เว็บตัวเองขึ้นอันดับ 1 ของ Keyword นั้นๆ
เพื่อผลประโยชน์หลายๆ ด้าน เช่น ขายสินค้า โปรโมทบริษัทหรือร้านค้า หรือโฆษณาต่างๆ

SEO ยังมีคำศัพท์และขั้นตอนในการทำอีกหลากหลาย รวมทั้งเครื่องมือเพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บอีกเพียบ
ไว้มีโอกาส (ผัดวันประกันพรุ่งอีกแล้ว) ผมจะค่อยๆ ดุ่มๆ ดำน้ำมาบอกเล่ากันต่อ...

แต่ตอนนี้ มาลองใช้คำค้นหา หรือ Keyword กัน งั้นผมใช้คีย์เวิร์ดคำว่า "สำนักพิมพ์" นะ
เปิดหน้าต่าง http://www.google.co.th (กูเกิลประเทศไทย) ขึ้นมา แล้วพิมพ์คำว่าสำนักพิมพ์ลงไป
จากนั้นก็กด Enter ปุ๊บ แล้วอีกปั๊บ โอ๊ะ โอะ โอ้...ขึ้นมาแล้ว...
(ถ้ารูปเล็กไป ก็ให้คลิกที่รูปอีกแล้วจะจ๊ะเอ๋ภาพขนาดจริง จุ๊ๆ)

Keyword "สำนักพิมพ์" 16 กันยายน 2555

ในที่นี้ สำรวจดูแค่ ๕ อันดับที่ Google ค้นหาคีย์เวิร์ดคำว่า "สำนักพิมพ์" มาได้ก็พอนะ

ผมสมมุติ (สมมุติเท่านั้น สาบานว่าไม่ได้คิดเป็นตุเป็นตะ)
สมมุติว่าผมเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง (หรือเจ้าของบริษัท เจ้าของร้านค้า เจ้าของเว็บอื่นๆ)
ผมก็ต้องกระหายอยากรู้ว่ามีใครเป็นคู่แข่งบ้าง ผมก็จะ (แอบ) ดูว่าเว็บนั้นทำ SEO หรือไม่--?
ก็สังเกตง่ายๆ แบบพื้นๆ ก่อนว่าเว็บคู่แข่งนั้นมีการปรับแต่ง Title, Keyword และ Description หรือเปล่า
โดยการเปิดเว็บเขาขึ้นมาแล้ว View Source Code ดูซะให้รู้แล้วรู้รอด
งั้นมา "สุ่ม" ดูซอร์สโค้ดสำนักพิมพ์สักแห่งหนึ่งที่ขึ้นอันดับอยู่ในหน้าแรกของกูเกิลกัน
(ขออนุญาตลบให้รางๆ เลือนๆ หน่อยละกัน ไม่อยากให้ประเจิดประเจ้อเกิน)

แอบดู Source Code

หรืออีกวิธีง่ายๆ โดยใช้เครื่องมือทาง SEO ช่วยเล็กน้อย
โอมเพี้ยง!!!

สำรวจ Title, Keyword และ Description
><
นี่แค่เบื้องต้นเท่านั้น รายละเอียดการทำ SEO ให้กับเว็บหรือบล็อกยังมีให้ศึกษาต่อ...
ความรู้นี่ไม่มีวันเรียนจบสิ้นจริงๆ ยังมีเรื่อง Facebook ที่เป็นอีกหนึ่งช่องทางแห่งโอกาสด้วย

ว่าแต่จะมีสำนักพิมพ์ไหนจะจ้าง บรรณาธิการนอก หรือ พิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์) บ้างไหม--?
ที่ไหนจ้างผมนะ ผมจะ ช่วย เรื่อง SEO ให้กับเว็บด้วยเลย สาบานจริงๆ
^^
ว่าแล้วก็มาดู Keyword บล็อกนี้ของผมบ้างดีกว่า http://openlife26.blogspot.com
มัวแต่สอดส่องและสาระแนเว็บคนอื่นๆ จะดูไม่เหมาะไม่งาม
เปิด http://www.google.co.th แล้วจัดแจงพิมพ์คีย์เวิร์ด เล่าไปเรื่อยเปื่อย ลงในเสิร์ชเอนจินทันใด...
ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ หรี่ตามอง... อุ้ย! ติดที่ ๓ หรือนี่...

บล็อก Open Life เล่าไปเรื่อยเปื่อย 


.







14 กันยายน 2555

Await เฝ้ารอแล้วก็ว่างเปล่า

Open Life เล่าไปเรื่อยเปื่อย...
เริ่มออกอาการอิดออดแอดเอื่อยและอืดอาดอ้อแอ้ตามอารมณ์เฉพาะตัวอีกแล้ว
แบบว่าต้องบิ้วบีบคั้นอารมณ์สักเล็กน้อยเพื่อให้ถ้อยคำหลั่งไหล
ซึ่งบางทีก็ตีบตัน มึนตื้อ และไม่มีผลึกให้ตกตะกอนในการร้อยเรียงเรื่องราวออกมา...

ยิ่งช่วงนี้ต้องโบกหน้าด้วยความไร้ยางอายเพื่อเอ่ยปากหยิบยืมเงินพรรคพวกหรือรุ่นพี่บางท่าน
เกรงใจก็เกรง เขินก็เขินแทบม้วนต้วน เพราะลำบากใจทั้งผู้ยืมและผู้ให้ยืม
แต่จะทำไงได้ล่ะ-- ไม่งั้นน้ำไฟอาจโดนตัด ทั้งผ่อนคอนโดล่าช้าก็โดนดอกเบี้ยผิดชำระอีก
โชคยังพอมีเมื่อรุ่นพี่ท่านหนึ่งเห็นใจสงสารให้ยืมห้าพันบาทแบบไม่คิดดอก (สาธุงามๆ ครับ)
เดือนนี้จึงได้หายใจรอดไปอีกระยะ ทั้งมีสาวผู้ใจดีสั่งซื้อหนังสือมือสองร่วมหกร้อยบาท (จ่ายค่าไฟ)
ส่วนเรื่องกินก็ดำรงอยู่ไปตามอัตภาพ อยากอยู่บ้านนอกคอกนาเสียเหลือเกิน
จะได้เก็บผักบุ้ง เด็ดยอดกระถินมาจิ้มน้ำพริกกะปิกิน
หรือทำเบ็ดไม้ตกปลาเรื่อยเปื่อย แต่ผมใจเสาะฆ่าปลาไม่ได้นะ ยังไม่ต้องพูดถึงการขอดเกล็ดปลา



กลับมาเรื่องการงานกันต่อ...
คลิก! อ่านความเดิมจากคราวที่แล้ว
หลังจากอ่อนระทวยไปกับเมล์สองฉบับจากสำนักพิมพ์ที่ตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ
หัวใจผมนั้นมันทดท้อและเริ่มหมดหวังแล้ว เทพแห่งความโชคดีคงเหาะเหินห่างจากผม
เฮ้อ...ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะคลิกเปิดอ่านเมล์ฉบับสุดท้าย...
ข้อความตอบกลับ... 

สวัสดีค่ะ คุณ...
คุณ...ไม่อยากทำตำแหน่งแบบประจำหรือคะ ตอนนี้ทางสำนักพิมพ์ต้องการมากๆ คือ

ตำแหน่งกองบก. ซึ่งจะเป็นทั้งกองบก. และบรรณาธิการเล่ม (ไปในตัว) 
อาจหมายรวมถึงต้องตรวจปรู๊พต้นฉบับด้วย (1 ครั้ง) เพราะทางสนพ.เราไม่มีตำแหน่งพิสูจน์อักษรประจำค่ะ 
มีแต่ต้องช่วยกันดูภายใน (อัตราตำแหน่งนี้จึงไม่ได้เปิดรับน่ะค่ะ)
เห็นควรว่าอย่างไรลองพิจารณาดูนะคะ


***

^^ จู่ๆ ดอกไม้ในหัวใจก็เบ่งบาน ในจินตนาการเห็นผีเสื้อโบยบินร่ายรำว่อนตระการ
ผมอ่านเมล์ฉบับนี้ซ้ำไปซ้ำมาขณะสายฝนนอกหน้าต่างโปรยปรายระบำหรรษา
ต้องขอบคุณน้ำใจแสนงามของ สำนักพิมพ์กรีน ปัญญาญาณ ที่เสนอให้ผมร่วมงานด้วย

(ผม "ครอบลิงก์" ของสำนักพิมพ์สองแห่งนี้ให้แล้ว เผื่อท่านใดสนใจหนังสือก็คลิกเข้าไปดูกันได้)

>< จากนั้นก็มีพี่ผู้หญิงฝ่ายบุคคลจาก สำนักพิมพ์สุขภาพใจ โทร.มาหาผม
เพื่อพูดคุยและสอบถาม (คุยกันร่วมชั่วโมง) แล้วก็เสนอให้ผมไปกรอกใบสมัครและคุยรายละเอียดกัน
โดยเป็นงานประจำในส่วนกองบก. หรืออาจให้ผมช่วยดูแลเว็บไซต์ให้
เพราะผมพอมีความรู้งูๆ ปลาๆ กระท่อนกระแท่นเรื่อง SEO บ้าง
(ไว้คราวหน้า จะลองเทียบ SEO แบบพื้นๆ และแปะรูปประกอบของสำนักพิมพ์ต่างๆ กันเล็กน้อย)

ตอนนี้...ผมต้องขอบคุณสำหรับความอารีของสำนักพิมพ์กรีน ปัญญาญาณ และสำนักพิมพ์สุขภาพใจ
ที่เสนองานประจำให้ (นี่ถ้าบริษัทอยู่ใกล้ๆ ที่พักผมก็คงดีเนอะ) มา ณ ที่นี้ด้วย
ซึ่งส่วนตัวแล้วผมอยากได้งานแบบฟรีแลนซ์มากกว่า ทว่าบางทีชีวิตก็อาจเลือกไม่ได้
ผมหวนระลึกถึงประโยคของ ปู่เย็น แก้วมณี เฒ่าทรนง ขึ้นมาทันทีทันใด...

คำสอนปู่เย็น


ตึ๊กต๊อกๆ ผมจะตัดสินใจเช่นไรดี--?
ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน ทุกวันนี้แม้นพอมีกินบ้าง ทว่าก็กินแบบเขียมๆ
ไหนจะหนี้ที่ผมเอ่ยปากยืมมา ไหนจะค่าโน่นนี่สิ้นเดือนนี้อีก
คำตอบอยู่ที่ตัวผมล้วนๆ เพราะเรามีอำนาจการตัดสินใจของตัวเองอยู่ในมือ
คำตอบคงจะได้รู้ในอีกไม่ช้า...

.








10 กันยายน 2555

Wait การรอคอยที่แสนทรมาน

เล่าไปเรื่อยๆ... เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง อะไรบ้าง
โดยเฉพาะกับการรอคอยความหวังสักอย่างหนึ่งให้บังเกิดขึ้นจริง
อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและกระวนกระวายบ้าง ทั้งดูเหมือนว่าเวลาช่างเดินช้าอืดอาดยิ่ง

หลายคนคงเคยดุ่มๆ เข้าไปสมัครงานตามบริษัทต่างๆ
เมื่อกรอกใบสมัครเสร็จและยื่นให้เจ้าหน้าที่หรือแผนกบุคคลแล้ว
หรือถ้ายื่นใบสมัครแล้วสัมภาษณ์เลย ย่อมได้ยินประโยคอมตะที่ว่า
"เดี๋ยวทางเราจะติดต่อกลับไปค่ะ/ครับ" ช่างเป็นประโยคยอดฮิตสุดคลาสสิกจริงๆ
อาจเป็นคำตอบแบบสุภาพ ปฏิเสธการจ้างอย่างสุภาพ โดยมีนัยว่า "ไม่รับคุณเข้าทำงาน" นั่นเอง
ก็เข้าใจอยู่บ้างว่าอาจมีการประชุมพิจารณากันว่าเห็นสมควรรับคนคนนั้นเข้าทำงานหรือไม่
หรือฝ่ายบุคคลต้องเสนอเรื่องให้หัวหน้าแผนกนั้นๆ หรือผู้จัดการร่วมกันตัดสินใจ จึงต้องใช้เวลากันบ้าง
หรือไม่ก็ตำแหน่งนั้นๆ รับได้เพียง ๑ คน ทว่ามีผู้ผ่านสัมภาษณ์มา ๕ คน ก็ต้องเลือกเฟ้นกันหน่อย


จากโพสต์บทความคราวก่อนที่ผมส่งเมล์สมัครงาน (หรือของานทำดื้อๆ ?) ไปยังเก้าสำนักพิมพ์
เพื่อสมัครตำแหน่งพิสูจน์อักษรแบบฟรีแลนซ์ (ช่วงนี้ยังไม่อหังการพอจะหางานบรรณาธิการ)
ล่าสุดรวมมีการตอบกลับมาเพียง ๓ แห่ง อีก ๖ แห่งคงใช้ความเงียบสยบความเคลื่อนไหว
หรือไม่สนใจ ไม่ได้เปิดอ่าน หรือเมล์ผมอาจหล่นอาจมในถังขยะแล้วก็ได้
หรืออาจด้วยเหตุผลร้อยแปดประการด่านอรหันต์ที่ต้องทำใจไว้ล่วงหน้า

มือผมสั่นระริก หัวใจเต้นระรัว จะเปิดเมล์อ่านดีไหมนะ เขาจะตอบกลับมาว่ายังไงบ้างหนอ--
เอาละ...ตัดสินใจแน่วแน่เพราะก็อยากรู้เช่นกัน ไหนๆ ก็ทำใจยอมรับชะตากรรมแสนตกต่ำไว้แล้ว
ตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียหรือเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ไหนๆ ก็เตรียมใจว่าคงไม่ได้งานแหงๆ

เมล์ฉบับแรกมาจากสำนักพิมพ์ใหญ่ซะด้วย หนังสือของที่นี่ขายดีหลายเล่ม
แถมอันดับการค้นหน้าด้วยคีย์ "สำนักพิมพ์" ของสำนักพิมพ์แห่งนี้ก็ติดอันดับหนึ่งหน้าแรก
ข้อความตอบกลับ...
"ขอขอบคุณคุณ...ที่สนใจเข้าร่วมงานกับสำนักพิมพ์...นะคะ
ทั้งนี้ ทางสำนักพิมพ์ยังไม่มีนโยบายรับ Freelance นะคะ
แต่ก็ได้ส่งข้อความทั้งหมดของคุณ...ให้ทางบรรณาธิการพิจารณาแล้วเช่นกัน
หากมีความคืบหน้า ทางทีมงานจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งค่ะ"


อืม...แนวโน้มชวดชัวร์ ไม่เป็นไร ผมบอกแล้วว่าเข้าใจและทำใจไว้เนิ่นๆ ละ
ทว่าหากมองโลกในแง่ดีก็อาจพอยังมีความหวังอยู่บ้าง แสงเทียนริบหรี่ในถ้ำมืดๆ
เผื่อทางบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งนี้อาจสงสารผม!!! หรืออยากใช้บริการคนนอกบ้าง
งั้นเปิดดูเมล์ฉบับที่สองต่อเลยดีกว่า เผื่ออาจโชคดีมีวาสนาก็ได้
ข้อความตอบกลับ...
"สวัสดีค่ะ ได้รับใบสมัครพนักงานฟรีแลนซ์เรียบร้อยแล้วค่ะ 
ทางบริษัทจะติดต่อกลับไปอีกครั้งนะคะ"

เอาแล้วไง...หัวใจหล่นวูบไปหลายขุม ต้องเอนกายนอนมองดูเพดานห้องสักครู่ไล่หาหยากไย่
สมองพลันคิดไปต่างๆ นานา พานครุ่นไปว่าทำไมบางคนถึงคิดสั้นฆ่าตัวตายนะ
แล้วทำไมบางคนถึงกล้าทำเรื่องผิดกฎหมาย กล้าค้าขายยาเสพติด กล้าฉ้อราษฎร์บังหลวง
กล้าลักขโมยปล้นจี้ เหิมฮึกคิดทำร้ายชีวิตผู้อื่นเพื่อหวังชิงทรัพย์ หรือยินยอมขายตัวเพื่อแลกเงิน
สังคมบีบคั้นและไม่ให้โอกาสพวกเขาเหล่านั้นหรือไร หรือพวกเขาตัดสินใจเลือกทางเดินนั้นเอง
หรือว่าพวกเขาพวกเธอไม่สู้ ไม่มุ่งมั่น ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ

ผมสารภาพตามตรงว่าก็เคยคิดเรื่องฆ่าตัวตายเช่นกัน แม้นมันจะบาปก็เถอะ
ทว่าไม่เคยคิดหลอกลวงหรือทำร้ายคนอื่นเพื่อหวังทรัพย์สินและเงินทองแต่อย่างใด
ไฉนต้องเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด หรือร่ำรวยขึ้น

กลับมาเรื่องงานต่อดีกว่า ยังเหลือเมล์อีกฉบับหนึ่ง...ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เต้นไม่เป็นจังหวะ
ผ่านไปสองฉบับกับความห่อเหี่ยวและแทบหมดหวัง ซึ่งฉบับที่สามก็คงไม่ต่างกัน
เฮ้อ...ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะคลิกเปิดอ่านเมล์ฉบับสุดท้าย...
ข้อความตอบกลับ...
.............................................................................

ข้อความจากเมล์ฉบับนี้เป็นของ สำนักพิมพ์กรีน ปัญญาญาณ
แล้วคราวหน้าผมจะมาเล่าไปเรื่อยเปื่อยต่อ...

.


6 กันยายน 2555

Resume แบบบ้านๆ (ต่อ)

เล่าไปเรื่อยเปื่อย...เลาะเลื้อยไปตามอารมณ์ในขณะนั้นๆ
ค้างเรื่องเรซูเม่ไว้ว่าผมจะเขียนเช่นไรดีนะ คือเขียนตามหลักเกณฑ์ที่มีแบบร่างนั้นหาไม่ยากเลย
แค่ซิกแซกปรับโน่นเปลี่ยนนี่ เขียนไปตามความเป็นจริง หรืออาจใส่สีตีไข่พองามบ้าง
ก็แค่เขียนประวัติการเรียน การงาน และข้อมูลส่วนตัวที่สั้น กระชับ ทว่าได้ใจความ
กระนั้น อาจไม่ได้อารมณ์ ไม่ระทึกเร้าเร่ง หรือเป็นเพียงเรซูเม่พื้นๆ ดาดๆ ที่เห็นได้ทั่วไป

เหตุที่ผมต้องขยับตัวและตัดสินใจเขียนเรซูเมนั้นก็เพราะชีวิตของตัวเองที่ต้องลุกสู้
มันไม่มีอะไรจะเสียหรือเลวร้ายกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งยามนึกถึงหน้าแม่แล้วทำใจให้เข้มแข็งเข้าไว้
แม้นจะอดตาย ไม่มีกิน ไม่มีเงิน ก็ต้องสู้ ไม่อยากบอกแม่ ไม่อยากเอ่ยปากขอเงินแม่ เพราะโตแล้ว
ทั้งที่แม่ก็บอกให้กลับไปอยู่บ้าน คอนโดโดนยึดก็ปล่อยไป
"กลับมาบ้านเราดีกว่า ลูก" แม่โทรมา
"แม่ เดี๋ยวหนูลองสู้ดูอีกสักตั้งนะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยกลับ" ผมตอบ (โตแค่ไหน สรรพนามยังหนูตลอด)
"กลับมาอยู่บ้านน่ะ จะได้กินอิ่มกินเต็ม อยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงินจะอยู่ยังไง" น้ำเสียงแม่อ่อนลง
"หนูก็กินอย่างประหยัดนะ แม่ กินง่ายๆ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก" ผมบอกเสียงเบาๆ

ผมนั่งนิ่งมองหน้าจอโน้ตบุ๊กอย่างเศร้าสร้อย โดยเปิดโปรแกรม Microsoft Word ค้างไว้
จากนั้นผมก็พิมพ์ข้อความออกมาตามความรู้สึก อารมณ์ ประโยคแล้วประโยคเล่า
กลั่นออกมาตรงๆ ตามความเป็นจริง เขียนแบบไม่อาย ไม่เหนียม ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ



แล้วนี่ก็คือ Resume ที่ผมกลั่นออกมาแบบรวดเดียว...

เรื่อง ขอสมัครงานตำแหน่ง พิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์)
เรียน ผู้จัดการ...

ก่อนอื่นต้องขออภัยเป็นอย่างมากหากว่าอีเมล์ฉบับนี้รบกวนท่าน 
ทว่าด้วยความจำเป็นแห่งชีวิตและโหยหากลิ่นน้ำหมึกของผม
จึงหวังใจว่าท่านจะกรุณาอ่านเหตุที่ผมลงมือเขียนอีเมล์นี้เพื่อของานปรู๊ฟภาษาไทยจากบริษัทท่านอย่างตรงๆ

แรกเริ่มผมก็ไม่ได้หมายว่าจะเขียนมาของานพิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์) แต่อย่างใด 
เพราะผมได้มีการลงประกาศเรื่องรับจ้างปรู๊ฟไว้ตามเว็บต่างๆ บ้าง
เขียนบล็อกบ้าง (http://openlife26.blogspot.com
และแนะนำหนังสือมือสองบ้าง (http://thai-usedbook.blogspot.com
ทว่าประกาศที่ผมลงไว้นั้นไม่มีที่ไหนติดต่อมาเลย 
กล่าวง่ายๆ ว่ารอคอยด้วยหวังว่าจะมีสำนักพิมพ์สักแห่งสนใจจ้างงานปรู๊ฟคนนอกบ้าง
ระหว่างนี้ ผมก็ปัดฝุ่นเอาหนังสือที่เก็บสะสมเองในวาระต่างๆ ออกมาขายเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอด 
คือเปิดร้านค้าออนไลน์แบบฟรี (http://lifebook.lnwshop.com) ขายหนังสือมือสอง
กระนั้น ลูกค้าก็ไม่ค่อยมี อาจเพราะยังเป็นร้านเปิดใหม่ หนังสือที่ลงก็ยังไม่หลากหลายและมาก  
ทั้งความน่าเชื่อถืออาจยังสู้ร้านที่เปิดมานานไม่ได้

ผมจึงอยากขอความเห็นใจจากท่าน หากว่างานพิสูจน์อักษรในกองบรรณาธิการล้นหรือปิดเล่มไม่ทัน 
ก็โปรดส่งมาให้ผมช่วยปรู๊ฟสักเล่มสองเล่มจักขอบพระคุณอย่างยิ่ง
ซึ่งตลอดชีวิตการทำงานของผมนั้นก็วนเวียนอยู่กับการทำหนังสือมาร่วมสิบห้าปี 
ผ่านทั้งงานกองบรรณาธิการ หัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษร บรรณาธิการ 
และสุดท้ายก็สิ้นสุดที่ตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร
โดยการปรู๊ฟงานของผมนั้น จะช่วยขัดเกลาสำนวน ทำความเข้าใจกับเนื้อหาว่ากลมกลืนและสอดคล้องกันหรือไม่ 
ลักษณะตัวละคร การใช้คำสรรพนาม หรือการดำเนินเรื่องมีความเป็นเอกภาพหรือไม่
ทั้งยังช่วยดูภาพรวมการจัดหน้า เพื่อให้หนังสือที่ผลิตออกมาจำหน่ายนั้นเกิดความสมบูรณ์และถูกต้องมากที่สุด

ขอขอบพระคุณยิ่งที่อ่านอีเมล์นี้ ผมก็สื่อสารและเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา 
เพราะตอนนี้ชีวิตผมเดือดร้อนยิ่งยวด อาศัยอยู่ตัวคนเดียว คอนโดก็ใกล้จะโดนยึด
โดยทุกวันนี้ก็อยู่กินอย่างประหยัด บางวันก็กินมื้อเดียว  พยายามเข้มแข็งและปลุกปลอบใจให้สู้ต่อไป
สุดท้าย จึงหวังว่าท่านจะพิจารณาและเมตตาเรื่องงาน “พิสูจน์อักษร ฟรีแลนซ์” ให้ผมได้รับใช้บ้าง
โดยท่านสามารถติดต่อผมได้โดยตรง เพื่อผมจะได้อธิบายในรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม 
ที่เบอร์โทรศัพท์  02-XXXXXX และ 08-XXXX-XXXX หรืออีเมล์ XXXX...@hotmail.com
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งต่อความกรุณาของท่านมา ณ ที่นี้
                                                                                        ด้วยจิตคารวะ

***

Mailing My Resume แบบลูกทุ่ง สไตล์ผู้ตกทุกข์ ไม่แนะนำให้เลียนแบบ
ผมก็สื่อสารไปตรงๆ คิดและรู้สึกเช่นไรก็พิมพ์ไปเช่นนั้น
เพราะลึกๆ ในใจเชื่อว่า...สังคมไทยน่าอยู่ มีคนที่เห็นใจ เปี่ยมเมตตา และพร้อมช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า
กอปรกับผมไม่ได้เขียนเพื่อขอเงินฟรีๆ ผมต้องการงานเพื่อให้ได้เงินในการดำรงชีวิตสืบไป
ผมอยากทำงานที่ตัวเองรัก ซึ่งก็คืองานหนังสือ ผมโหยหากลิ่นน้ำหมึก
ผมคิดถึงตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ผมถวิลหาวันวานที่ได้นั่งจับผิดตัวอักษร
เพราะห้วงเวลาแบบนั้นช่างสงบ ได้คิดไปตามเนื้อหา จินตนาการไปตามตัวละครต่างๆ

เมื่อผมพิมพ์เสร็จสรรพ พลันใช้คีย์คำว่า "สำนักพิมพ์" ค้นหาในกูเกิล
โดยเลือกรายชื่อสำนักพิมพ์ที่ผมอยากร่วมทำงานด้วย กล่าวง่ายๆ ว่าอยากอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์นั้นๆ
ผมเลือกมาได้ ๙ ที่ (ส่วนตัวชอบเลขเก้า) แล้วผมก็ส่งเมล์เรซูเม่ไปยังเก้าสำนักพิมพ์นั้น...

ผ่านไปสองวัน... มีเมล์ตอบกลับมาจากสำนักพิมพ์ ๒ แห่ง
เชื่อไหมว่าแค่เห็นเมล์ตอบกลับมา ผมก็ให้รู้สึกดีใจเหลือคณาโดยที่ยังไม่ได้เปิดอ่านเลย
มือสั่นงึกๆ สองจิตสองใจจะเปิดเมล์อ่านดีไหม จะเจอข้อความเช่นไรหนอ โอ๊ย...ช่างตื่นเต้นดีแท้

แล้วผมจะมาเล่าไปเรื่อยเปื่อยต่อ...

 .





5 กันยายน 2555

Resume แบบบ้านๆ

เรซูเม่ (Resume) ก็คือ "ประวัติการเรียนและประวัติการงาน"
เป็นการเขียนประวัติโดยย่อ หรือประวัติส่วนตัวสั้นๆ นั่นเอง

แล้วเล่าไปเรื่อยมาเกี่ยวข้องยังไงกับเรซูเม่ล่ะ--?
ก็ด้วยชะตาชีวิตของผมนั้นมันมาถึงจุดสุ่มเสี่ยงและใกล้พังพ่ายรอมร่อแล้ว
เหมือนคนผู้สิ้นหวัง ทดท้อ อ่อนล้า และไร้ทางออก
ทั้งที่ก็พยายามหาทางออก หาทางดิ้นรน หรือหาทางแก้ไขจุดวิกฤตของชีวิตให้อยู่รอด

ในเมื่อลงประกาศรับจ้างพิสูจน์อักษร (ฟรีแลนซ์) แล้วไม่มีที่ไหนติดต่อมาหลายเดือน
(จริงๆ ก็เคยผ่านงานบรรณาธิการมาบ้าง สามารถรีไรท์หรือขัดเกลาสำนวนต้นฉบับได้)
ขืนมัวแต่รอ...รอ...และรอ... เห็นทีได้อดตาย ที่สุดคอนโดต้องโดนยึด หรือน้ำไฟโดนตัดแน่ๆ
ไม่มีเวลาชักช้าโอ้เอ้และอืดอาดอ่อยเอื่อยอีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาต้องลุย...รุก...
ไม่มีซึ่งอัตตาหรือความหยิ่งใดๆ ปล่อยวางบ้าง แบกไว้ก็หนักเปล่าๆ

โดยไม่รีรอ...ผมจึงจัดแจงพิมพ์ใบสมัครงานทันใด
นั่นแหละเป็นเหตุให้ต้องค้นหาว่าการเขียนเรซูเม่ (Resume) นั้นมีหลักการเช่นไรบ้าง
ซึ่งวิธีการในการเขียนประวัติย่อนั้นจะต้องเขียนข้อมูลให้ "กระชับและชัดเจน"
พูดง่ายๆ ให้เข้าใจก็คือ "สั้นแต่ได้ใจความ" นั่นเอง 
ทั้งยังต้องจัดวางรูปแบบในการเขียนเรซูเม่ให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย และดูสบายตาอีกด้วย
ส่วนเนื้อหาของ Resume นั้น จะต้องมีความสอดคล้องกับความเป็นตัวเราจริงๆ ไม่ใส่ข้อความเท็จใดๆ ทั้งสิ้น


อืม...
แล้ว Mailing My Resume (ของผม) จะเขียนยังไงดีล่ะ?
ไว้ผมจะมาเล่าไปเรื่อยเปื่อยต่อ...
ว่าเขียนในลักษณะเช่นไร และส่งไปที่สำนักพิมพ์ไหนบ้าง
แล้วที่สุดเป็นอย่างไร (อาจไม่มีสำนักพิมพ์สนใจอ่าน ตอบกลับ หรือยินดีให้ผมรับใช้งานปรู๊ฟก็ได้)

ขออนุญาตไปเจียวไข่กินมื้อเย็นก่อนครับท้องไล้มันร้องประท้วงโอ๊กอ๊ากแล้ว

.