24 กุมภาพันธ์ 2556

กรุงเทพสุดฤทธิ์ ร่วมกับสุหฤท สร้างเซอร์ไพรส์

อย่างที่เกริ่นไว้ในบทก่อนว่า...ถ้าผมมีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ได้ ผมจะขอเลือก--
หมายเลข 17  สุหฤท สยามวาลา

เพราะนับเป็นอีกคนหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับ
กรุงเทพมหานคร (กทม.) ไม่ใช่น้อย
เมื่อตัดสินใจออกมาประกาศอาสา
ขอรับใช้ประชาชนลงท้าชิงในตำแหน่ง
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
สำหรับ โต้-สุหฤท สยามวาลา
และด้วยบุคลิกที่มีหลากหลายด้าน
จึงมีผู้นิยามให้กับ โต้-สุหฤทไปต่างๆ นานา
ไม่ว่าจะเป็น...วัยรุ่นที่มีอายุแก่ที่สุด 
ผู้บริหารเฟี้ยวเงาะ 
ดีเจอินดี้ตัวพ่อ 
หรือผู้ชายที่รักภรรยาที่สุดในจักรวาล
 

สโลแกน “กรุงเทพสุดฤทธิ์ ร่วมกับสุหฤท สร้างเซอร์ไพรส์” 

ปัจจุบัน โต้-สุหฤทดำรงตำแหน่งผู้บริหาร บริษัท ดี เอช เอ สยามวาลา จำกัด
ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว เป็นผู้บริหารรุ่นที่ 4 ของตระกูลสยามวาลา
มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องเขียนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ
อาทิเช่น แฟ้มตราช้าง, ปากกา Cross, ปากกา Quantum, สี Master Art 

ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี
      
ขณะเดียวกันชีวิตอีกด้านหนึ่งของ โต้-สุหฤท ก็เรียกว่าสุดฤทธิ์ คล้ายแคมเปญที่ออกมาจากเขา
เพราะเอาแค่สไตล์แต่งตัวก็เรียกความน่าสนใจได้อย่างมาก
นอกจากนั้น เขายังเป็นนักร้องนำแห่งวง ‘ครับ’ วงดนตรีอินดี้ที่ดังที่สุดเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
เขาคือดีเจขวัญใจเด็กแนวแห่งคลื่น Fat Radio
เขาคือพ่อมดอิเล็กทรอนิกส์ ผู้บุกเบิกแนวเพลง Electronica
จากเดิมที่ไม่มีคนรู้จักจนกลายเป็นเพลงที่ขาดไม่ได้ในยามค่ำคืน
และมีภาพลักษณ์ที่เป็นผู้บริหารที่มีความเป็นสมัยใหม่
   
สุหฤท สยามวาลา หมายเลขเบอร์ 17      
“เชื่อแบบเดิม เลือกแบบเดิม ได้กรุงเทพฯ แบบเดิม”

   
 **นโยบาย 12 ข้อของสุหฤท**
    
       1. ทุกชีวิตต้องปลอดภัยบนทางเท้า เพราะทางเท้าเป็นที่สาธารณะที่ขาดการดูแล
ซึ่งความปลอดภัยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพวกแผงลอย หาบเร่เพียงอย่างเดียว
ปัญหาเช่น ทางเท้าตะปุ่มตะป่ำ ป้ายที่รกเต็มเมืองไปหมด เรื่องแสงสว่างต่างๆ
นี่ก็คือภาพรวมของความปลอดภัย แต่ที่สร้างปัญหาให้คนกทม.มากที่สุดคงเป็นเรื่องหาบเร่ แผงลอย
จะมีวิธีจัดการ 2 แบบคือ การจัดการแบบเด็ดขาด หรืออีกวิธีคือใช้วิธีประนีประนอมค่อยพูดค่อยจากัน
แต่ว่าต้องยึดทุกอย่างภายใต้กรอบกฎหมาย แน่นอนว่าคงจะทำให้บางคนต้องเดือดร้อน
แต่คงไม่มีกติกาสังคมใดทำให้คนทุกคนชอบไปหมดได้ ซึ่งเราก็ต้องให้ทุกคนยึดถือกฎหมาย
ค่อยๆ เข้าไปแก้ไขทีละจุด ทั้งนี้ทั้งนั้นกลยุทธ์ของแต่ละที่จะใช้ไม่เหมือนกัน
เช่นแต่ละที่เราต้องรู้ว่าใครมีส่วนได้ส่วนเสียอยู่บ้าง ต้องค่อยๆ เข้าไปจัดการ
อย่างประเทศสิงคโปร์ใช้เวลาเป็น 10 ปีกว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องเริ่มนับหนึ่งให้ได้ก่อน ฉะนั้นทางเท้าควรจะเป็นที่ให้เดินได้อย่างปลอดภัย
      
       2. เริ่มแก้ปัญหาจราจรจากศูนย์ ทำไมกองทัพมดถึงไม่เคยมีปัญหาจราจร
เราต้องกล้าที่จะ “ช่วยกันดูแลระเบียบจราจร” ก็คือ เราชอบที่จะพูดเรื่องอะไรที่มันใหญ่โต
เช่น ให้กทม.เลิกรถติด สร้างโครงการใหญ่เพิ่ม ฉะนั้นง่ายๆ คือขอให้ทุกคนทำตามกฎจราจรก่อน
ประชาชนทุกคนจะรู้ว่าปัญหาของตัวเองอยู่ตรงไหน จะรู้ว่าเส้นทางไหนขวางทางหรือติดขัด
จะรู้ว่าเวลารถตู้จอดสองเลนเป็นอย่างไร ฉะนั้นเราต้องเริ่มเคารพกฎจราจร
มีการรณรงค์ในวันจันทร์ พุธ ศุกร์ หลังจากนั้นทุกคนจะช่วยกันถ่ายรูปปัญหาบนท้องถนนที่ทุกคนพบเจอมา
แล้วส่งมาทางเว็บไซต์ที่เราจะตั้งขึ้นมา เป็นเว็บไซต์ของกทม.ที่ทุกคนจะสามารถดาวโหลดได้
โดยรถแต่คันจะมีตำแหน่ง GPS บอกอยู่ แล้วจากนั้นก็จะส่งไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ดูแลจราจรโดยเฉพาะ
นี่จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาโดยภาคประชาชนแล้วปัญหาจราจรจะลดลงแบบคาดไม่ถึง
เป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุนอะไรด้วย
      
       3. ขยะแลกสวนสาธารณะ ขยะเกือบหมื่นตันต่อวัน ช่วยกันเปลี่ยนมันเป็นเงิน
แล้วเอาเงินนั้นมาใช้สร้างสวนสาธารณะของพวกเรา ผมคิดว่าเราควรจะแยกถุงขยะเป็นสามสี แดง เหลือง เขียว
ทั้งนี้สำหรับสีแดงก็คือขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ เหลืองคือไม่รู้จะเอาไปทำอะไรต่อ
ถ้าเราแน่ใจเราก็ใส่ถังเขียว ดังนั้นต้องมีการจับแยกที่บ้านของตัวเอง
เราต้องเปลี่ยนขยะพวกที่เป็นทรัพย์สินโดยที่เรามีสัมปทานอยู่
เราก็สามารถหารายได้จากขยะตรงนี้ แล้วนำไปสร้างสวนสาธารณะ
       ผมยกตัวอย่างจากตัวเลขจริง ขยะมูลฝอยในกรุงเทพฯ ตก 9,745 ตันต่อวัน
หากนำมารีไซเคิลจะเป็นเงิน 8 บาทต่อกิโลกรัม
แปลว่าเราสามารถแปลงขยะเป็นเงินได้วันละ 77.9 ล้าน
สมมุติหักค่าจัดการต่างๆ ออกไป เหลือกำไร 20% กรุงเทพฯ ก็ยังมีรายได้เพิ่มขึ้น 5,691 ล้านบาทต่อปี
วิธีจัดการก็ง่าย สำรวจพื้นที่สาธารณะ ประเมินค่าใช้จ่าย เปิดให้เอกชนรัฐซื้อขยะ
เพื่อแปรรูปหรือส่งออกต่อไป ทำระบบรายการปริมาณขยะ
เมื่อบรรลุเป้าหมายการขายขยะจึงนำเงินไปสร้างสวนสาธารณะ
      
       4. 50 เขต 50 เสน่ห์ ใช้เสน่ห์ของคนในเขต
เพื่อสร้างชุมชนในฝันให้เด็กๆ ได้เข้าใจชุมชนที่ตัวเองเติบโตมา
หลักคือจะกระจายอำนาจให้กับผู้อำนวยการเขตทุกเขต การที่จะทำให้เศรษฐกิจมันหมุนเวียน
มันไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งของกทม. เรื่องนี้จะเป็นตัวหลักในการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ อย่างหยั่งยืน
ยกตัวอย่าง ลาดกระบังให้ ผอ.ลองทำประชามติ คนลาดกระบังบอกว่าอยากให้เป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี
เราก็จำลองเลยว่าจะมีไวไฟ แบบไหนถึงจะเหมาะสม มีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
เราสามารถที่จะพาลูกของเราไปเรียนวิทยาศาสตร์ที่เขตลาดกระบังได้ หรือจะเป็นเขตบางรัก
ขอเสนอว่าเป็นดินแดนแห่งความรัก จัดเทศกาล จัดวอล์กกิ้งสตรีท ให้คนมาร่วมสนุกได้
ทั้งนี้จะให้ประชาชนในแต่ละเขตสามารถกำหนดได้ว่าจะออกแบบชุมชนเราให้เป็นแบบไหน
จะเพิ่มแหล่งทำมาหากิน
      
       5. ดูแลโรงเรียนด้วยหัวใจ เราจะต้องช่วยกันดูแลครูให้ดีเพื่อให้ครูได้มีโอกาสสร้าง
คนกรุงเทพสำหรับอนาคต” พร้อมทั้งเสนอโรงเรียนทางเลือกให้คนกรุง
เพราะเห็นว่าหลายครั้งที่รัฐบาลบริหารโรงเรียนและครูจะหนักไปที่การบริหารงบประมาณ
ไม่ค่อยบริหารเรื่องหัวใจ เราต้องเข้าไปรู้ว่าครูทำงานในแบบใด นอกจากนี้อีกแนวทางหนึ่งที่คิดไว้คือ โรงเรียนทางเลือกคือนำเอาแนวทางโรงเรียนนานาชาติมาปรับให้เข้ากับแบบความเป็นไทย
หลักสูตรของเราจะทัดเทียมเมืองนอก เช่น สิงคโปร์ สวีเดน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฯลฯ
ซึ่งโรงเรียนทางเลือกถูกรับรองแล้วโดยกฎหมายของทางกระทรวงศึกษาธิการ
ซึ่งเราสามารถจะทำได้และค่อยๆ ทำต่อไป โดยโรงเรียนทางเลือกก็คือ แตกต่างจากหลักสูตรโดยทั่วไป
และบางที่ทำเป็นโรงเรียนสำหรับนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ จบออกมาก็สายตรงเลย
      
       6. โฆษณาสีเขียว เปลี่ยนโจทย์ให้นักทำโฆษณาอยากโฆษณา 
ต้องกล้ามอบความเขียวคืนให้กับกรุงเทพฯ
คงตรงกับที่ส่วนตัวปฏิเสธการหาเสียงโดยใช้ป้าย มันจะเป็นโจทย์ให้กับนักทำโฆษณา
บริษัทต่างๆ ก็อยากจะส่งเสริมภาพลักษณ์ตัวเองในเรื่องแง่ของสิ่งแวดล้อม
อย่างบริษัท SCG แล้วก็มีโลโก้ของ SCG อยู่ข้างบนต้นไม้ กรุงเทพฯ ก็จะมีรายได้เพิ่ม
ประชาชนเห็นก็จะสบายตาเขียวสวย ถ้าจะทำสถานที่ อาทิ ตอม่อรถไฟฟ้า ใต้ทางด่วน
ถ้าใช้โฆษณาสีเขียวก็จะลดค่าโฆษณาป้ายให้ เมืองสวยขึ้น เอกชนแฮปปี้ ประชาชนแฮปปี้
      
       7. จักรยานไม่ใช่ลูกเมียน้อย
ทำไมผู้ใช้จักรยานในเมืองใหญ่ทั่วโลกไม่ต้องเสี่ยงตายเท่าผู้ใช้จักรยานในกรุงเทพฯ
ซึ่งน่าจะดูแลใส่ใจกับกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาช่วยลดปัญหารถติด
พวกเขาช่วยลดปัญหามลพิษ เราควรที่จะสนับสนุน
เราเลยอยากจะทำให้จักรยานเป็นพาหนะหลักเป็นทางเลือกอันหนึ่ง เหมือนรถยนต์และมอเตอร์ไซค์
ถามว่าเราสร้างที่จอดรถให้รถอื่นๆ ได้ ทำไมจะมีที่จอดรถจักรยานบ้างไม่ได้
จักรยานไม่ใช่พาหนะที่จะใช้ออกกำลังกายอย่างเดียว ซึ่งต้องมีทางจักรยานเพิ่มขึ้นด้วย
สามารถขับขี่ไปทำงานได้อย่างปลอดภัย ห้างสรรพสินค้าควรจะมีที่จอดรถจักรยาน
ก่อนจะโดยสารต่อไปด้วยรถไฟฟ้าก็ควรจะมีที่จอดรถจักรยาน ต้องทำให้เป็นทั้งเมือง
ต้องมีการประชุมร่วมกันกับผู้รับผิดชอบจักรยานระดมสมองกัน
      
       8. เครือข่ายการเดินทางสาธารณะ จะต้องเริ่มจากหน้าบ้าน โดยหน้าที่ของกทม. คือ
การดูแลผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้ดีตลอดเส้นทางต้องเชื่อมโยงให้ได้ทุกจุด
นี่จะเป็นเรื่องเดียวกับการแก้จราจรจากศูนย์
ผมจะต้องทำจนกว่า คนจะรู้สึกว่าการขับรถไปเองทรมานกว่าการใช้รถสาธารณะ
การแก้ไขปัญหาจราจรถึงจะจบสิ้นและยั่งยืน หน้าบ้านที่พูดไปก็คือ
ตั้งแต่หน้าบ้านเราจะออกไปขึ้นรถวินมอเตอร์ไซด์อย่างไร รถตู้อย่างไร ถึงจะถึงรถไฟฟ้า
จะใช้เวลา 1 ปีในการจะประกาศอนาคตเครือข่ายของกรุงเทพฯ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก
คือถ้าวันหนึ่งคนไม่อยากขับรถแล้ว อยากใช้เดินทางด้วยระบบรถสาธารณะมากขึ้น
รถส่วนตัวก็จะหายไป รถน้อยลงจลาจรก็จะง่ายขึ้นเอง
      
       9. ยกระดับหน่วยกู้ภัยกรุงเทพฯ ให้ทัดเทียมนานาชาติ
เป็นผู้ช่วยเหลือที่ไว้ใจได้ที่สุดในยามฉุกเฉิน อุปกรณ์พร้อม ความสามารถของบุคลากรพร้อม
คือเทศกิจของเราอาจไม่เพียงพอและคนกรุงเทพฯ อาจต้องการความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
อยากจะสนับสนุนหน่วยกู้ภัยทั้งหมดของกรุงเทพฯ เพื่อออกมาเป็นอาสาสมัครทำงานให้คนกรุงฯ 24 ชั่วโมง
ถ้าใครเจ็บป่วยเดือดร้อนก็จะมีคนคอยดูแลให้ ลำพังแค่ตำรวจอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ในระดับนานาชาติก็เป็นแบบนี้ทั้งหมด คนในชุมชนก็จะช่วยให้รายได้เขาจากการช่วยกันตรวจตรา
ความปลอดภัยก็จะมีมากขึ้นจากอาสาสมัครเหล่านี้
      
       10. เมืองที่ผู้หญิงอยู่อย่างมีความสุข เมื่อผู้หญิงมีความสุข
ทุกคนในบ้านก็มีความสุขปกป้องให้ปลอดภัย สร้างโอกาสที่จะก้าวหน้า ส่งเสริมในสิ่งที่ชอบ
คือถ้าผู้หญิงในบ้านมีความสุขทุกคนในบ้านก็จะมีความสุขหมดแน่นอน
ฉะนั้นผู้หญิงต้องมีความปลอดภัยในชีวิตของพวกเขา ทั้งกล้อง อาสาสมัคร ที่จะทำให้เขาอุ่นใจ
ผู้หญิงชอบชอปปิ้ง หลังจากเลิกงานมีที่พักผ่อน ส่งเสริมเรื่องการทำสุขภาพให้ดี
ถ้าผู้หญิงในเมืองนี้มีความสุข ความปลอดภัยคนอื่นในกรุงเทพฯต้องมีแน่นอน
      
      11. Lifestyle City / City of Living / Work-Life Balanced / สร้างสมดุลของชีวิตคนกรุงเทพฯ
เมืองต้องการศิลปะทุกหัวระแหง เมืองต้องการพื้นที่สำหรับออกกำลัง
กรุงเทพฯ ต้องสนับสนุนให้ชีวิตของคนในเมืองดีขึ้น
เรื่องนี้ตกใจมากเรื่องเวลาตัวเองรณรงค์เรื่องการหาเสียง
ที่ว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ของคนกรุงเทพฯ ที่มีอยู่อย่างมากมาย เช่น
เอาใบกะเพรา เอาต้นหอม หรือมะเขือเทศมาเรียงเป็นชื่อสุหฤท เบอร์ 17
หรืออย่างมีรถที่ฝุ่นเกาะเต็มไปหมดยังไม่ได้ล้าง คนที่ชื่นชอบเราก็ไปเขียนว่า
คนล้างไม่อยู่ไปโหวตให้สุหฤท พวกนี้ก็จะแชร์ไปในส่วนต่างๆ ของโซเชียลเน็ตเวิร์ก
นี่คือความคิดสร้างสรรค์ที่ถูกซ่อนอยู่และไม่ได้รับการสนับสนุน บางคนสามารถที่จะใช้ชีวิตสองด้านได้
ฉะนั้นเราต้องมีที่ที่ให้คนสามารถมารวมตัวกัน วาดรูป เล่นดนตรี มีงานศิลปะ กีฬา
แสดงออกในด้านต่างๆ ให้อีกด้านหนึ่งชีวิตของเขามีความสุข
      
  12. Bangkok-Emo-Meter 
กรุงเทพฯ เมืองแห่งความเชื่อมโยงแอปพลิเคชั่นเดียวสำหรับการใช้ชีวิตในกรุง
เริ่มตั้งแต่ได้ข้อมูลทันเวลาที่ต้องการไปจนถึงประเมินความพอใจได้ในทุกเรื่อง
ทุกวันนี้คนในกรุงเทพฯ ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นล้านคน
ผมมองว่าโลกของดิจิตอลมันเดินเร็วมาก ถ้าไม่เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้มันจะไม่ทัน 
เราลองไปดูที่สิงคโปร์ เมืองของเขาสามารถที่จะโหลดแอปพลิเคชั่นให้การใช้ชีวิตในเมืองเขาดีขึ้น
เช่น เราสามารถติด GPS ให้กับรถเมล์ได้ ป้ายรถเมล์ก็จะบอกว่าอีกกี่นาทีรถเมล์สายที่เรารอจะมา
เป็นชีวิตที่วางแผนได้นี่แค่ยกตัวอย่าง แอปพลิเคชั่นที่จะทำจะไประดมสมองจากผู้ที่เชียวชาญ
พวกวัยรุ่นออกมาให้ใช้ประโยชน์ให้กับกรุงเทพฯ เรื่องอื่นได้
เราจึงต้องค่อยๆ ทำเพราะฐานข้อมูลเรายังไม่แน่น

ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์

22 กุมภาพันธ์ 2556

เลือกผู้ว่าฯ กทม. เลือกใครดี?

ช่วงๆ นี้เหมือนเช่นเคยยามที่มีงานฟรีแลนซ์ทยอยเข้ามาให้รับใช้ เรียกใช้บริการ
จึงไม่ค่อยมีอารมณ์กลั่นกรอง ไม่มีเวลาจดจาร และไร้จินตนาการจะกดแป้นพิมพ์
แม้นว่าพอจะมีประเด็น มีโครงเรื่องบางอย่างในสมองที่อยากจะเขียนเพื่อเล่าสู่กันฟังบ้าง
กระนั้นก็หมดพลังด้วยเหนื่อยล้าจากการงาน หรือเวล่ำเวลาที่ถูกดูดกลืนจนมิอาจอัพเดทบล็อกได้
ทว่าก็อยาก "ขอบคุณ" ผู้ว่าจ้างทั้งหลายที่ให้ความไว้วางใจและให้งานมาทำด้วยความมั่นใจ
บางแห่งก็น่ารักและใจดีกรุณาส่งงานพิสูจน์อักษร (Proofredder) มาให้อย่างสม่ำเสมอทุกๆ เดือน
เพราะเมื่อมี 'งาน' ทำก็หมายถึงมี 'เงิน' เพื่อจะมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้...

ผมเชื่อว่า...คงมีหลายๆ ท่านและหลายๆ คนอยากหลุดพ้นจากการเป็น "พนักงานประจำ"
ย่อมมิปรารถนากระวีกระวาดตื่นเช้ารีบเดินทางเพื่อไปทำงานให้ทันเวลาตอกบัตร 
บางบริษัทอาจไฮเทคโดยการสแกนลายนิ้วมือบันทึกเวลาเข้าและออกงาน
ขณะบางคนมีรถส่วนตัวก็อยากได้ความสบายแม้นจะสิ้นเปลืองค่าน้ำมัน 
ส่วนคนไม่มีรถเป็นของตนเองก็อาจใช้บริการรถสาธารณะหลายต่อและหลายสาย
ยิ่งวิถีชีวิตในเมืองหลวงที่แออัดยัดเยียดและสภาพการจราจรที่แสนติดวินาศสันตะโร
ทำให้จำต้องเสียเวลาอยู่บนท้องถนน เสียเงินกับค่าเดินทาง และเสียสุขภาพจิตยามรถติดหนึบ
ซึ่งรถก็น่าติดอยู่หรอก ในเมื่อใครๆ ก็อยากมีรถยนต์ส่วนตัวกัน ขณะท้องถนนนั้นมีเท่าเดิม
แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุล่ะ? หรือฝนตกกระหน่ำหนักเล่า? หรือไม่มีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน?

หลายๆ ครั้ง...หลายๆ หน...ผมก็ให้รู้สึกแปลกแยกและแปลกเปลี่ยวในเมืองหลวง 
เห็นตึกสูงตระหง่านชูประชันผงาดประหนึ่งจะประกาศความยิ่งใหญ่เทียมฟ้า
เห็นแผงลอยริมทางเท้าตั้งระดะแลดูเกะกะทำให้คนเดินต้องก้าวฉวัดเฉวียน
เห็นน้ำในลำคลองเป็นสีดำหมองและสารพัดขยะลอยเอื่อยพะเยิบพะยาบ
เห็นผู้คนมากมายหลายลักษณะต่างเร่งรีบและแข่งขันกันทำงานหาเงิน
เห็นหนุ่มสาววัยเล่าเรียนศึกษาอยู่กันเป็นคู่ๆ หรือมีเซ็กซ์ก่อนวัยอันสมควร
แล้วก็เห็นอะไรต่อมิอะไรอีกหลากหลายสารพัน ทั้งแง่ร้ายและแง่งาม ทั้งน่ารักและน่าร้องไห้...


เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะมี การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ ๑๐ แล้ว
เท่าๆ ที่ตามข่าวสาร ดูเหมือนว่าจะเป็นสงครามชิงเมืองหลวงของพรรคการเมืองสองพรรค
โดยคนกทม. ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งและออกเสียงจะเป็นผู้ตัดสินอนาคตของมหานครแห่งนี้
หรือจะเกิดปาฏิหาริย์ปรากฏว่า ผู้สมัครอิสระชนะด้วยคะแนนท่วมท้นจนได้เป็นผู้ว่าฯ
...คำตอบคงรู้ใน วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 แน่ๆ

ถึงแม้นว่าผมจะไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านมาเป็นคนเมืองหลวงเต็มขั้น
แต่ก็อาศัยอยู่กินและทำงานหาเงินในมหานครแห่งนี้มาร่วมๆ ๑๗ ปีแล้ว
ลึกๆ ผมมองว่า...กรุงเทพฯ เสมือนคนป่วยไข้ ซึ่งนับวันก็ป่วยทรุดโทรมลงเรื่อยๆ
ถ้าพินิศในด้านความศิวิไลซ์ ความเจริญ ความทันสมัย หรือความรุ่งเรืองแล้วละก็
คงเห็นชัดตรงปัจจัยภายนอก หน้าตา สภาพแวดล้อม ตลอดจนเครื่องอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ
กล่าวแบบซื่อๆ ก็คือ เจริญรุ่งโรจน์ทางด้านวัตถุกับเทคโนโลยี นั่นเอง
แน่นอนว่า...กรุงเทพฯ มีคอนโดฯ เพิ่มขึ้น สูงขึ้น มีหมู่บ้านจัดสรรมากขึ้น มีรถราหนาตามากขึ้น
แล้วก็มีอาชญากรรม การฆาตกรรม ยาเสพติด และมีสถานบันเทิงเริงรมย์มากขึ้นด้วย

กรุงเทพมหานคร ต้องการหมอ...
หรือก็คือ ผู้ว่าฯ เพื่อมาเยียวยา รักษา และผ่าตัดคนไข้ที่ชื่อ "กรุงเทพฯ"
ทั้งควรเผ็นผู้ที่พร้อมจะเสียสละและทำประโยชน์เพื่อคนกรุงจริงๆ
บริหารงานและใช้อำนาจที่มีอย่างเป็นธรรม ตรงมาตรงไป ต้องรับใช้ประชาชนมากกว่าเล่นเกมการเมือง
ไม่มีสี ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และก็ต้องแก้ปัญหาอย่างตรงจุดถูกประเด็น ฯลฯ

แต่ถ้าผมมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครล่ะ--?
ผมจะเลือกใครดี จะพิจารณากาให้ใครอย่างไร จะลงคะแนนที่ตัวบุคคลหรือเลือกพรรค?
จะไตร่ตรองดูที่นโยบายสวยหรูหรือความเป็นไปได้จริง หรือจะงดออกเสียงให้รู้แล้วรู้รอดดีหนอ...
ไว้บทความต่อไป...ผมจะมาบอกกล่าวกัน...


13 กุมภาพันธ์ 2556

Valentine นิยายรักไม่มีชื่อ

ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวคริสต์
นั่นก็คือ วันวาเลนไทน์  Valentine
วันวาเลนไทน์ หรือวันนักบุญวาเลนไทน์ หรือที่รู้จักกันว่า "วันแห่งความรัก" นั้น
เป็นวันที่คู่รักจะบอกความในใจของกันและกัน อาจจะโดยการส่งการ์ด มอบดอกไม้ มอบตุ๊กตา
หรือพากันไปท่องเที่ยวในสถานที่หวานแหววโรแมนติกสุดประทับใจ

สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คือ เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมัน
โดยมีร่างกายเป็นเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยังหัวใจของผู้คน
ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า...
เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม)

***

ช่วงนี้...ชีวิตยังวุ่นๆ หลายอย่าง ตรุษจีนก็กลับไปบ้านเพื่อไหว้บรรพบุรุษ
ครั้นกลับมาถึงเมืองหลวง เปิดเมล์ก็มีงานฟรีแลนซ์ส่งมาให้ทำสองเรื่อง 
ทำให้ไม่ใคร่มีเวลามาอัพบล็อก หรือลงขายหนังสือมือสองที่ร้าน Life Book 
อีกทั้ง "ปลวก" ก็ยกทัพมาราวีหนังสือตามชั้นถึงในห้อง มันกัดกินหนังสือเสียหายไปหลายเล่ม
ซึ่งก็ตั้งใจว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ทว่าคงต้องจัดการเรื่องงานให้หมดห่วงและเสร็จสิ้นก่อน
ฉะนั้น จึงขอเอาเนื้อหาของ นิยาย ที่ริเริ่มลองเขียนมาลงให้อ่านคั่นเวลาไปพลางๆ
ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถเขียนจนจบเป็นเล่มๆ ได้หรือไม่...ทว่าที่ลองเขียนนั้น
เพราะมีความรู้สึกรู้สาอะไรบางอย่างที่ฉาบฉวย ตะขิดตะขวงใจกับบางสิ่งที่เป็นไป...

ลองๆ ฝืนใจอ่านกันดู หรือไม่อ่านก็แล้วแต่ตามเจตจำนง (ยังต้องขัดเกลาอีก แค่ร่างๆ ไว้)
หมายเหตุ : อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ไม่ควรอ่าน เพราะอ่านหนังสือเรียนดีกว่าครับ

นิยายรักไม่มีชื่อ


บทนำ
    อากาศในห้องสวีทของโรงแรมระดับหรูกลางเมืองหลวงหนาวกำลังพอเหมาะ ท้องฟ้านอกผนังกระจกขนาดใหญ่บานใสมืดสลัวคล้ายว่านางฟ้าดึงม่านสีดำบังซ่อนความงามไว้ ขณะในห้องมีเพียงแสงนวลเรื่อจากโคมไฟเหนือหัวเตียงสาดรางๆ ชายหนุ่มนอนตะแคงมองใบหน้าขาวเนียนของหญิงวัยสามสิบปลายๆ อย่างพินิจ จวบสามเดือนแล้วที่ทั้งสองคบหาและมีสัมพันธ์สวาทกัน หากแต่ความสัมพันธ์นั้นหาใช่ความรักฉันหนุ่มสาวคราวเบญจเพศเช่นทั่วไป เพราะวัยที่ห่างกัน ฐานะก็ต่างกัน ตลอดจนวิถีชีวิตที่ต่างกัน จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้สถานภาพของทั้งสองถูกตีขอบเขตแค่คู่นอนยามเหงาเปล่าเปลี่ยวเท่านั้น

ชายหนุ่มขยับกายเล็กน้อยแล้วหอมหน้าผากมนของหญิงวัยกลางคนอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าเธอจะตื่น ลมหายใจหอมละมุนรินรดหน้าอกแกร่งทำให้เขาอยากจุมพิตริมฝีปากสวยยิ่งนัก แม้ผู้หญิงที่นอนหลับพริ้มพักตร์ตรงหน้าอายุจะใกล้เลขสี่ก็ตามที ทว่าความสวยยังฉายฉานแจ่มยิ่งกว่าสาวแรกดรุณี รูปร่างทรวดทรงก็บอบบางอรชรน่าเชยชมพรมไล้ ผิวพรรณขาวละเอียดดุจหิมะธิเบต ทั้งหน้าอกก็ยังยั่วยวนเต่งตึงเต็มมือ

“อ้าว เอกตื่นแล้วเหรอคะ นี่ตีไรแล้วล่ะ” ระรินเอ่ยถามเสียงงัวเงียก่อนจะซุกหน้าแนบอกชายหนุ่มอย่างหวงหา

เอกวัฒน์หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางที่วางไว้หัวเตียงมากดดู “ตีสองแล้วครับ รินนอนต่อเหอะ พรุ่งนี้มีประชุมที่บริษัทนี่” เขาบอกแล้วแย้มยิ้มอ่อนโยนขณะเอามือลูบผมยาวนุ่มสลวยของคนนอนข้างๆ 

“ใช่ค่ะ ประชุมตอนบ่ายๆ รินรู้สึกหนาวยังไงไม่รู้ อยากให้เอกกอดรินแบบนี้ทุกคืนจัง อบอุ่นดี” ร่างบางพูดจบก็แหงนศีรษะรับริมฝีปากของชายหนุ่มที่ประทับจูบชิวหาความหวานล้ำ ลิ้นแลกลิ้นแล้วดูดดื่มอย่างใคร่กระหาย เอกวัฒน์ลูบไล้แผ่นหลังเนียนนวลก่อนเลื่อนลงไปขยำก้นนิ่มงามงอนเบาๆ เขาถอนจุมพิตออกจากริมฝีปากเรียวสวยเพื่อเลื่อนลงมาไซ้ซอกคอระหงด้วยแรงราคะที่คุกรุ่น ร่างเปลือยเปล่าของทั้งสองกอดก่ายแนบชิดกันใต้ผ้าห่มเนื้อนุ่มสีขาว ระรินเริ่มหายใจติดขัดเพราะไฟราคีเร่าร้อนถูกจุดโชนขึ้นอีกครั้ง

“ตัวรินหอมจังครับ หอมดั่งกุหลาบแย้มบานยามเช้า ผมปรารถนาในตัวคุณเหลือเกิน” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีรัตติกาลรำพึงเสียงสั่นเครือ

“เอกน่ะปากหวานอีกแล้ว รินก็มีความสุขมากเลย อา ช่างรู้ใจรินจริงๆ แบบนี้รินคงหลงรักเอกหมดใจแน่ อือ...” ระรินพึมพำพลางครางครวญเมื่อเอกวัฒน์เคลื่อนมือตะปบเคล้นขยำปทุมถันชูชันเต็มแรง ขณะปากก็เลื่อนลงขบเม้มทรวงอกสล้างอีกข้างอย่างตะกรุมตะกรามและถวิลโหยหา ปลายลิ้นหนาตวัดเลียเนื้อเนินอกขาวราวกับกระหายมาแรมปี เขาดูดเน้นหนักหน่วงจนเกิดรอยจ้ำแดงกระจายทั่วดอกบัวคู่สวย บัดนี้อารมณ์พิศวาสของทั้งคู่โหมกระหน่ำดุจพายุคลั่งในมหาสมุทรก็มิปาน

“ผมก็มีความสุขเช่นกันครับ คุณเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิตผมเลย โอว หน้าอกงามนัก รินจ๋า ผมจะปรนเปรอให้คุณมีความสุขอีกรอบนะ” เมื่อหนุ่มวัยอ่อนกว่ากล่าวจบก็ไล้ลิ้นเลียมาตามเนื้อหนังหน้าท้องแบนราบ แล้วค่อยๆ ดำดิ่งลงหาเนินสวรรค์อวบอูมหวานหยาดเยิ้ม มือคลึงบี้ปลายถันหมายจะพาหญิงร่างระหงล่องลอยสู่วิมานฉิมพลีที่พร่างพราย รสสัมผัสแสนวาบหวามทำให้เธอครวญครางอู้อี้อืออาในลำคอ เป็นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขรัญจวนสยิวซ่าน กระทั่งเขาซุกหน้าละเลงลิ้มร่องฉ่ำที่ปกคลุมด้วยปุยไหมนานเนิ่นจนร่างเนียนบิดเร่าแทบขาดใจแดดิ้น

“เอกจ๋า...รินทนไม่ไหวแล้ว รินต้องการเอกเหลือเกิน” เสียงร้องกระเส่าปลุกเร้าอารมณ์ทำให้ชายหนุ่มเริงโรจน์เร่าร้อน โดยไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำ มือแกร่งทั้งสองข้างพลันจับเรียวขางามแยกออกทันใด เขาสอดใส่สัญลักษณ์ของบุรุษเพศเข้าสำรวจหลืบถ้ำแห่งความเร้นลับและน่าค้นหา แล้วโถมตัวทาบทับเหนือร่างบางก่อนจะค่อยๆ กระแทกให้เร็วขึ้นและแรงขึ้น  ความสุขสมเสน่หาลอยอบอวลเลอค่าไปตามลีลาร่วมรักที่ร้อนแรง ทั้งสองแลกจูบกันอย่างกระสันลึกล้ำ แต่ละท่วงท่าเฉียดใกล้ภาวะจุดสุดยอดหลายครั้งหลายครา ทว่าทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมเสร็จถึงฝั่งฝัน ต่างอ้อยอิ่งและปรารถนาตักตวงอารมณ์ในห้วงโลกีย์ให้ยาวนานเพื่อรอจะเดินทางไปสู่ฟากฟ้าปลายฝันร่วมกัน

“ริน...ผมใกล้แล้ว คุณต้องเป็นของผมคนเดียวนะ อูว” เอกวัฒน์สูดปากขณะเร่งจังหวะให้กระชั้นหนักขึ้น ระรินตอบสนองทันใดโดยกระหวัดขารัดเอวแกร่งเพื่อหยั่งลึกถึงลำเนื้อความเป็นชายไว้แน่น ชายหนุ่มรีบประกบปากดูดกลืนเสียงร้องร่ำที่ใกล้ทะลักล้นของฝ่ายหญิงทันที ต่างฝ่ายต่างกอดรัดกันแน่นเตรียมเติมเต็มให้กันและกัน และแล้วทั้งสองก็บิดร่างเกร็งก่อนจะทะยานหวิวถึงจุดหฤหรรษ์พร้อมกันในที่สุด

ระรินนอนอ่อนระทวยหมดแรงและหอบหายใจระโรย เธอมองชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีที่นอนเคียงข้างด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุขอย่างยากบรรยายด้วยบทกวีใดๆ ใบหน้าหล่อเข้มดุจเทพบุตรช่างคมคายสมชายชาตรี คิ้วดกดำโค้งโก่งเป็นคันศรพระราม จมูกโด่งเป็นสันสอดรับกับเรียวปากอิ่มได้รูป ผิวสีน้ำผึ้งแบบคนไทยขนานแท้ แถมร่างกายก็กำยำแข็งแรงดั่งนักรบโบราณ เห็นแล้วทำให้ยากจะอดใจอยู่นิ่งเฉยได้ อยากสัมผัสเคลียคลอทั้งวันทั้งคืน ระรินมองชายหนุ่มที่ไว้ผมรากไทรปรกไหล่สีดำขลับอย่างหลงใหลปลาบปลื้ม เกิดความรู้สึกว่าอยากให้เขาเป็นของเธอคนเดียวตลอดไป

“เอกรักรินบ้างไหมคะ หรือแค่ชอบเรื่องบนเตียงเท่านั้น” ร่างขาวเปลือยกระซิบถามข้างหูก่อนจะหอมแก้มหนุ่มรุ่นน้องฟอดหนึ่ง

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งชั่วครู่ด้วยไม่มีถ้อยคำใดจะตอบให้กระจ่างแจ้ง เหมือนว่าความรู้สึกต่างๆ นานาวิ่งพล่านไร้ทิศทางและไร้ทำนองจะบอกกล่าว

“ไม่รู้สิ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมรักใคร” เอกวัฒน์ตอบเนือยๆ ด้วยรู้สึกอ่อนเปลี้ย จากนั้นเขาก็โอบแขนกอดระรินเพื่อให้ไออุ่น แผงอกหนาเบียดชิดหน้าอกอวบคู่สวยแทบหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน

“รินคงแก่เกินกว่าที่เอกจะรักสินะ หรือไม่ก็คงอายเวลาเดินควงกับหญิงอายุคราวพี่คราวแม่ เรื่องนี้รินเข้าใจดี” น้ำเสียงคนพูดสื่อออกมาเสมือนประชดประชันและเจือความน้อยใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้น รินยังดูสาวดูสวยเสมอ หน้าตาก็อ่อนกว่าวัย หุ่นยังเซ็กซี่น่าฟัด แถมเวลาคุณยิ้มก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดจนหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต้องเหลียวมองกันขวับ รินยังดูไม่แก่เลยนะ ดูสิ ไม่เห็นมีตีนกาสักรอยเลย” ตอนนี้ชายหนุ่มตื่นเต็มตาแล้ว ความง่วงงุนปลาสนาการหายเป็นปลิดทิ้ง

“ทำมาเป็นปากหวานพูดเอาใจ รินไม่หลงกลหลงคารมเอกง่ายๆ หรอก ถามจริงๆ เอกรู้สึกยังไงกับรินกันแน่” คนถามนิ่งรอฟังคำตอบด้วยใจจดจ่อ

“เออ...คือ...ก็รู้สึกดีครับ ดีมากๆ เลย แบบว่า...เออ...ยามอยู่ใกล้รินแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก” เอกวัฒน์อ้ำอึ้งตอบแล้วกระชับอ้อมกอดที่โอบร่างเปลือยแน่นขึ้น

“แค่นี้เหรอ เอาเป็นว่ารินไม่อยากรู้ล่ะ งั้นปิดไฟนอนกันดีกว่า จะตีสี่แล้ว น่าจะหลับได้สักสองสามชั่วโมง เดี๋ยวจะตื่นสายกัน พรุ่งนี้ช่วงหัวค่ำยังต้องไปงานเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทเพื่อนรินอีก เอกไปด้วยกันไหมล่ะ” ระรินเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วลองออกปากชวนแบบทีเล่นทีจริง

“คุณก็รู้นี่ว่าผมไม่ชอบงานสังคมแวดวงไฮโซพวกนี้ ขี้เกียจปั้นหน้ามารยาสาไถย คุณไปคนเดียวเหอะ ผมขออยู่ห้องทำงานดีกว่า ลูกค้าเจ้าหนึ่งอยากเปลี่ยนโลโก้ใหม่ งานเร่งซะด้วยสิ” ชายหนุ่มหาเหตุผลปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจคนชวน เพราะตั้งแต่รู้จักคบหากันมาร่วมสามเดือน ระรินได้เอ่ยชวนเขาออกงานสังคมต่างๆ หลายครั้ง ซึ่งเขาก็บอกปัดหรือปฏิเสธไปทุกครั้งเช่นกัน

ที่จริงระรินรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าเขาจะพูดเช่นไร ทว่าเธอก็อยากชวนดูเผื่อเขาจะเปลี่ยนใจอยากออกงานสังคมบ้าง

“แบบนี้ทุกที พ่อคนมีโลกส่วนตัว ชวนไปงานไหนๆ มักหาเหตุไม่ว่างตลอด แต่พอชวนดื่มหรือชวนเข้าโรงแรมกลับว่างแทบจะทันทีทันใด สงสัยรินเป็นแค่ที่บำบัดความใคร่ชั่วคราวของเอกเท่านั้นมั้ง” ระรินตัดพ้อด้วยความน้อยใจเต็มประดา

“ไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ว่างจริงๆ รินอย่าคิดมากสิ ผมง่วงแล้ว เรานอนกันเถอะ” เอกวัฒน์พยายามตัดบทดื้อๆ เพราะรู้ว่าอธิบายไปก็เปล่าประโยชน์ คุยไปคุยมาเดี๋ยวลงเอยด้วยการทะเลาะกันแน่ๆ ทั้งไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับร่างเพรียวบางที่นอนกอดอยู่สักเท่าไร

“นอนก็นอน ถ้าเอกตื่นช่วยปลุกรินด้วยนะคะ”    

“ได้ครับ จะปลุกตอนเจ็ดโมงเช้าเลย พร้อมกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่นตั้งรอ แต่ตอนนี้ขอจุ๊บปากรินก่อนหลับสักหน่อย เห็นปากคุณทีไร ผมแทบคลั่งทุกที อยากประคองจูบให้นานแสนนาน” เขาโน้มหน้าลงมาจูบปากเธอทันที มือพลันเลื่อนมาเกาะกุมหน้าอกนูนผ่องของคู่นอนต่างวัยอย่างเคยชิน

“ฝันดีนะคะ พ่อคนมีโลกส่วนตัว” ระรินกระซิบกระซาบหลังจากที่เขาถอนจุมพิต

“ฝันดีจ้า คนงาม” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ

..........