20 มิถุนายน 2556

เมื่อตลาด 'บรรณาธิการ' ขาดแคลน

เป็นบทความตั้งแต่ช่วงใกล้ๆ ปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งน่าสนใจและน่าเฝ้ามอง
จึงใคร่อยากนำเอามาแบ่งปันลงในบล็อกน้อยๆ นี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่อยากมีส่วนร่วมบ้าง

เมื่อตลาด 'บรรณาธิการ' ขาดแคลน
โดย : ปริญญา ชาวสมุน




ใครจะเชื่อ --- หากบอกว่า "บรรณาธิการกำลังขาดแคลน"
ทั้งที่เราๆ ท่านๆ ก็ยังเห็นตำแหน่งนี้เด่นหราท้ายชื่อคนมากมายบนหน้ากระดาษ

'500' คือ จำนวนบรรณาธิการที่วงการหนังสือประเทศไทยต้องการตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
'10 กว่าๆ' คือ จำนวนบรรณาธิการที่วิชาบรรณาธิการผลิตออกมาได้
แต่ที่น่าตกใจ คือ 10 กว่าคนนั้น เป็นบรรณาธิการจริงๆ ได้เพียงไม่กี่คน!

หลายคนอาจสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเลขเหล่านี้จึงน้อยเสียเหลือเกิน
ทั้งๆ ที่เกือบทุกมหาวิทยาลัยมีสาขาวิชาอันเกี่ยวข้องกับ 'หนังสือ'
ไม่ว่าจะเป็นวารสารศาสตร์ หรือนิเทศศาสตร์ ถ้าหากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว
วิชาชีพบรรณาธิการมิได้เปิดสอนกันแพร่หลาย หนำซ้ำยังมีเพียงไม่กี่แห่งที่ยอมเปิดสอน

หากไม่นับรวมสาขาวิชาดังกล่าว เห็นจะมีเพียงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยบูรพาเท่านั้น
ที่มีหลักสูตรบรรณาธิการโดยตรง สำหรับจุฬาลงกรณ์ฯ ขณะนี้ยังเป็นเพียงวิชาโท ในคณะอักษรศาสตร์
แต่สำหรับ ม.บูรพา ก็เป็นวิชาเอกในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ถึง 6 ปีแล้ว
แต่มีนักศึกษารวมกันไม่กี่สิบคน

จากการสำรวจเมื่อปี 2548 โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
พบว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า สำนักพิมพ์ทั่วประเทศไทยจะต้องการบรรณาธิการถึง 500 ตำแหน่ง
ทว่าจากปีนั้นจนบัดนี้ หลักสูตรบรรณาธิการทั้งวิชาเอกและโท
มีคนจบการศึกษาไปได้เพียง 10 กว่าคนเท่านั้น
แต่สาขาวิชาต่างๆ ที่สอนเกี่ยวกับการผลิตสิ่งพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร
ก็มีวิชาว่าด้วยบรรณาธิการประกอบอยู่ด้วยทั้งสิ้น ทว่าจะมุ่งเน้นไปในทางสื่อเหล่านั้นเสียมากกว่า

รองศาสตราจารย์ ธัญญา สังขพันธานนท์ หรือที่รู้จักกันดีในนาม ไพฑูรย์ ธัญญา
นักเขียนรางวัลซีไรต์ปี 2530 ซึ่งขณะนี้เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บอกว่า ในสาขาวารสารศาสตร์ หรือนิเทศศาสตร์ ก็มีวิชาเกี่ยวกับการบรรณาธิกรอยู่แล้ว 1-2 วิชา
อาจเป็นแบบรวบรัด ซึ่งไม่เหมือนวิชาเอกโดยตรง แต่เขาก็มองว่าน่าจะเพียงพอ

สำหรับผู้บุกเบิกและช่ำชองวิชาบรรณาธิการอย่าง มกุฏ อรฤดี มองว่า
มีหลายสิ่งที่แยกวิชาบรรณาธิการออกจากสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นได้
คือ หลักสูตร วิธีคิด และวิธีทำงาน
"วารสารกับหนังสือ เรียนต่างกัน วิธีคิดก็ต่างกัน วิธีทำงานก็ไม่เหมือนกันด้วย
เมื่อไม่เหมือนกัน ก็ทำงานลำบาก ต้องปรับตัว เช่น 

เรียนนิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ ความคิดหลักต่างกัน
พอต่าง จะให้เขาปรับความรู้สึกภายในก็ลำบาก เช่น นิตยสารก็จะคิดถึงความสวยงามก่อน เป็นต้น"


ดังนั้นการสอนวิชาชีพบรรณาธิการจริงๆ จึงไม่ได้มีทุกที่ แต่ในทางกลับกัน
คนที่เรียนบรรณาธิการก็อาจไม่รู้เรื่องการผลิตหนังสือพิมพ์ วารสาร หรือสาขาวิชาต่างๆ อย่างถ่องแท้เช่นกัน

หากย้อนเวลากลับไปประมาณ 50 ปีก่อน ในยุคที่หนังสือเริ่มเฟื่องฟู
ตั้งแต่ยุคนั้น คนทำหนังสือส่วนมากจะมาจากสาขาวิชาอื่น
เช่น นิติศาสตร์ วารสารศาสตร์ สื่อสารมวลชน มนุษยศาสตร์ ฯลฯ
ซึ่งทุกคนต่างมีความรู้ในแขนงของตน
แต่ด้วยความชอบพอหนังสือ จึงก้าวเข้ามาทำหนังสือ
ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ หนังสือที่ได้ ขาดความเป็นหนังสือ --- กระทั่งทุกวันนี้

"เขามาทำหนังสือด้วยความรู้อย่างหนึ่ง มาทำด้วยความรักอย่างหนึ่ง
มาทำในเรื่องความคิดอีกอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น มันไม่มีตัวของตัวเองเลย ไม่มีอะไรที่เป็นหนังสือเลย เขาถึงต้องมาเรียนรู้ใหม่
บางคนทำหนังสือมาหลายสิบปีแล้วยังไม่รู้เลยว่าหมึกพิมพ์อันตราย มีสารก่อมะเร็ง
เขายังไม่รู้เลยว่าขอบหนังสือที่เว้นไว้ข้างๆ เว้นไว้เพื่ออะไร" มกุฏกล่าว

นี่คือผลลัพธ์จากการลองผิดลองถูก หากผิดพลาดผลกระทบสู่วงกว้างจะมากมายเหลือคณานับ
ชิ่งแรกคือ 'คนอ่าน' อาจต้องรับสารพิษสู่ร่างกายอย่างปฏิเสธไม่ได้
ชิ่งต่อไป คือ 'สังคม' ที่พยายามบอกกันว่า 'สังคมอุดมปัญญา' แล้วทั้งหมดก็พากันลงหลุม---

"เมื่อเขาไม่ได้เรียนมา ก็จะทำผิดๆ บางครั้งที่ทำผิดไป แต่บังเอิญคนทำหนังสือเล่มนั้นมีชื่อเสียง
หรือสำนักพิมพ์มีชื่อเสียง ความผิดนั้นก็กลายเป็นความผิดที่คนอื่นเอาอย่าง
มาตรฐานหนังสือของเราจึงด้อยกว่าชาติอื่นๆ ที่เรียนมาด้านนี้
เป็นที่ขบขันมากว่าทำไมหนังสือในประเทศเราพิมพ์สีดำเต็มไปหมดเลย
เลขหน้าก็เอาไปไว้ที่อื่น นี่ยังไม่รวมกรณีอื่นๆ ที่แปลกประหลาดพิดาร
ถ้าเราเรียนรู้ เราก็จะทำหนังสืออย่างถูกต้อง
นอกจากคนอ่านได้ประโยชน์ทางเนื้อหาก็จะได้ประโยชน์จากรูปแบบด้วย
ตาไม่เสียไว มะเร็งก็ไม่กินปอด ไม่เจ็บป่วยเนื่องจากใช้กระดาษผิดประเภท
ถ้าเราเรียน ทันทีที่จบมา ก็จะทำหนังสือได้ถูกต้องในกรอบของมันเลย
เรื่องการสร้างสรรค์มันมาทีหลัง หรืออาจมาพร้อมๆ กัน อย่างน้อยที่สุดก็มีความรู้พื้นฐาน
มีข้อห้ามอะไรบ้างในการทำหนังสือ มีข้อบังคับอะไรบ้างที่ควรทำ"

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนหลายกลุ่มเชื่อว่าตัวเลขบรรณาธิการที่ประเทศไทยต้องการ
ซึ่งกำลังว่างโหว่นั้นถูกเติมให้เต็มแล้วด้วยบรรณาธิการมากหน้าหลายตา
ที่เราเห็นกันดาษดื่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คงปฏิเสธอีกไม่ได้เช่นกันว่า
มีบรรณาธิการหลายคนสั่งสมประสบการณ์กระทั่งเป็นบรรณาธิการจริงๆ ได้
 -- แต่ไม่ใช่ทุกคน


ธัญญาอธิบายว่า เขาเชื่อว่าวิชาบรรณาธิการเรียนกันได้
และคนเรียนก็จะมีหลักยึดดีกว่าคนไม่ได้เรียน แต่สิ่งที่เขาเชื่อยิ่งกว่า
คือ 'ประสบการณ์' จะสร้างให้เป็นบรรณาธิการที่ดีได้

"คนที่จบปริญญาตรีสี่ปี มันไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะมาเป็นบรรณาธิการเลย
และผมก็คิดว่าตลาดคงไม่รับบรรณาธิการในเอกนี้โดยตรงทันที คนที่จะเป็นบรรณาธิการได้
ต้องเขียนหนังสือได้ด้วย ต้องผ่านงานพวกนี้มา มันต้องทำงานมาหลายปี
ผมว่าประสบการณ์เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราต้องการบรรณาธิการที่ดีต้องมีประสบการณ์
ส่วนหนึ่งก็ต้องมีหลักความรู้ แน่นอนว่าสอนน่ะได้หลักความรู้
แต่ประสบการณ์ล่ะ ไปฝึกงานเทอมเดียวมันไม่พอ"


ด้าน มกุฏกล่าวว่า "มีบางคนพยายามบอกว่าสิ่งเหล่านี้เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
แต่ถ้าเรียนรู้ด้วยตัวเอง หนึ่ง ใช้เวลานาน สอง ไม่มีตำราเหล่านี้หรอก
เพราะฝรั่งที่เขาทำหนังสือ ไม่จำเป็นต้องเรียน มันอยู่ในสายเลือดของเขา รู้เห็นโดยธรรมชาติ
เหมือนการกินข้าว ก็รู้ว่ากินข้าว ไม่ต้องมาวิเคราะห์เลยว่ากินกี่นาที กี่คำ"

แต่เขาก็ไม่ได้ตัดสินว่าคนที่ไม่ได้เรียนวิชาบรรณาธิการจะทำหนังสือดีไม่ได้
เพราะสิ่งที่คนทำหนังสือส่วนมาก ทั้งที่เรียนมาและไม่ได้เรียนมามีอยู่เต็มเปี่ยม
คือ 'ความปรารถนาดีและความรักหนังสือ'

"เราไม่ปฏิเสธนะว่าพวกเขาทำด้วยความปรารถนาดี คนพวกนี้ทำเพราะรักหนังสือทั้งนั้น
เหมือนกับที่ผมเข้ามาด้วยความรักหนังสือ แต่กว่าจะเรียนรู้ได้ มันใช้เวลาตั้ง 25 ปี
ถ้าเผื่อรู้ก็รู้ไป แต่ถ้าไม่รู้แล้วทำแบบผิดๆ คนอ่านก็ได้รับสิ่งผิดๆ
ก็อาจเป็นผลเสีย เสียหาย เป็นพิษภัยในบางเรื่อง อันตรายในบางสิ่ง ทั้งรูปแบบทั้งเนื้อหา"


บรรณาธิการที่ขาดแคลนในสายตาของ มกุฏ คือ คนที่เข้าใจ และรู้เรื่องบรรณาธิการจริงๆ
ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ ธัญญา ได้พูดถึง
ภาวะขาดแคลนบรรณาธิการซึ่งกระทบต่อวงการหนังสือบ้านเราเป็นวงกว้าง

"ผมคิดว่าบรรณาธิการหนังสือเล่มยังขาด ในแวดวงหนังสือยังมองว่าใครก็ได้ที่เขียนหนังสือได้บ้าง
และอ่านหนังสือมากก็เป็นบรรณาธิการได้ มันจึงมีปัญหาว่า
นักเขียนที่เขียนเรื่องสั้นหรือนวนิยายต้องการบรรณาธิการมากๆ เลย
จากประสบการณ์ของผมคือเนื่องจากมีประกวดวรรณกรรมเยอะมาก
บางรางวัลก็รับต้นฉบับสดๆ หมายถึงไม่ต้องเป็นหนังสือเล่มมาเลย อย่างเช่น
ที่เห็นในรางวัลซีไรต์ซึ่งผมไปเป็นกรรมการ ได้อ่านหนังสือทุกเล่ม
บางเรื่องถ้ามีบรรณาธิการดีๆ จะไปได้ดี นักเขียนบางทีก็ล้นไป ขาดไป
เพราะไม่มีบรรณาธิการ บางคนทำหนังสือเอง
เดี๋ยวนี้นักเขียนทำหนังสือเองได้แบบ on demand ก็เป็นการตัดกระบวนการทำหนังสือ
บางคนให้เพื่อนฝูงเป็นให้ ยังไม่มีประสบการณ์หรือยังไม่แก่กล้าพอ
มันไม่เหมือนยุคสมัยผม ที่ยังไงก็ไม่มีวันได้ทำหนังสือเองหรอก ต้องผ่านสำนักพิมพ์
แน่นอนสำนักพิมพ์เขามีบรรณาธิการ จากประสบการณ์ผมเป็นบรรณาธิการคนอื่นได้
แต่ผมเป็นบรรณาธิการตัวเองไม่ได้ เพราะเรามองคนละแบบกัน
ตอนนี้เรามีปัญหาอย่างหนึ่งทำให้วรรณกรรมบ้านเราไม่ดี 

คือบ้านเราขาดบรรณาธิการหนังสือเล่มที่มีฝีมือ"

ทั้งที่สำนักพิมพ์ก็ต้องการบรรณาธิการมากมาย และมีหลักสูตรเปิดสอนกันเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ทำไมคนถึงไม่ไปเรียน? นี่อาจเป็นคำถามซึ่งยากแก่การหาคำตอบ
เพราะเมื่อใช้เหตุและผลเพื่อหาคำตอบ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนอยากทำหนังสือแล้วไม่ไปเรียน

หรือเพราะวิชาว่าด้วยการทำหนังสือยากเกินไป---

บรรณาธิการใหญ่แห่งสำนักพิมพ์ผีเสื้อพูดถึงสาเหตุของกรณีนี้ว่า แท้จริงวิชาบรรณาธิการไม่ได้ยาก
แต่ไม่เคยมีใครสอน เมื่อไม่มีใครสอนก็จะกลับไปสู่วังวนเดิมที่ได้กล่าวไปข้างต้น
คือ คนทำหนังสือก็จะทำผิดๆ ถูกๆ โดยเขาเปรียบเปรยว่าวิชาบรรณาธิการก็ไม่ต่างจากชาวประมง

"ชาวประมงต้องมีความรู้ในการจับปลา เขาอาจเรียนรู้มาจากพ่อแม่ จากบรรพบุรุษ หรือจากตัวเอง
แต่อย่างน้อยที่สุดเขาเรียนมา เขารู้ว่าควรไปจับตรงไหน ควรเดินเรืออย่างไร
สังเกตท้องฟ้าอย่างไร สังเกตน้ำอย่างไร ท้ายที่สุดเขาก็จับปลาได้ แต่ถ้าเราอยากจับปลา
แต่ไม่เคยรู้เลย ไม่มีใครสอนเรื่องจับปลา เราก็ไปซื้อเรือมา แล้วลงไปจับปลา
เราอาจใช้เวลามากกว่าเขาเพื่อจะได้เท่าเขา หรืออาจจะไม่ได้เลย
เท่ากับว่า คนที่ไม่รู้เรื่องจะสูญเสียมากกว่าจะได้ แทนที่จะได้ปลา ก็สิ้นเปลืองน้ำมัน
อาจเจอพายุ เรือล่มตาย หรืออาจจับปลาที่มีพิษมาขาย คนกินเข้าไปก็ตาย"

อาชีพทำหนังสือก็ไม่ได้แตกต่างจากอาชีพอื่น แต่พิเศษกว่าตรงที่ ไม่ว่าจะสาขาวิชาใด
ด้วยหลักสูตรที่เป็นวิชาการ หนีไม่พ้นจะต้องใช้หนังสือทั้งสิ้น
คนที่ทำหนังสือนั้นก็คือบรรณาธิการ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคนที่ทำหนังสือไม่รู้เรื่องหนังสือเลย
ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงรายละเอียด แน่นอนว่าย่อมผิดพลาด และไม่น่าเชื่อถือ สิ่งที่เด็กเรียนรู้ก็ย่อมผิดตาม

"บรรณาธิการที่ดีต้องมีสำนึกรับผิดชอบถึงคนอ่าน 
เขาได้อะไร มีประโยชน์ไหม แล้วเรื่องอื่นค่อยตามมา
เมื่อมีความสำนึกรับผิดชอบดีแล้ว รู้ว่าจำเป็นต้องผลิตหนังสือแล้ว เช่น
ได้ต้นฉบับนิยายโรมานซ์มาเรื่องหนึ่ง บรรณาธิการที่ดีต้องถามว่า
ถ้าเราพิมพ์หนังสือเล่มนี้ คนอ่านจะได้อะไร 

สมมติว่าพยายามตอบแล้วว่าคนอ่านได้อะไรก็ว่าไป
ต้องตั้งคำถามต่อตัวเองว่ามันจำเป็นต้องพิมพ์ไหม
บรรณาธิการที่ดีต้องตั้งคำถามครั้งแล้วครั้งเล่าถึงคนอ่าน 

และผลที่เกิดขึ้นต่อสังคม" มกุฏกล่าว

ในประเทศจีนมีมหาวิทยาลัยถึง 48 แห่งที่เปิดสอนเรื่องทำหนังสือ ตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงเอก
ในฝรั่งเศส เยอรมนี ก็เปิดสอนเป็นเรื่องเป็นราว เพราะรัฐบาลประเทศเหล่านั้นมองว่าจำเป็นมาก
เพราะเมื่อก่อนเขาก็ทำหนังสือไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อศึกษาต่อมาๆ ก็พบว่า
คนที่ทำหนังสือเพื่อการค้า ก็จะนึกถึงแต่เรื่องการค้า ถ้าข้อมูลผิดไปสักหน่อยก็ละเลย
แทนที่จะเก็บหรือแก้ก็ปล่อยไป เพราะการเก็บหนังสือทำลายต้องเสียเงินเป็นแสน
ยิ่งถ้าผิดในหนังสือวิชาการ หนังสือความรู้ ผลกระทบย่อมทวีคูณ หรือแม้แต่เขียนแผนที่ผิด
อาจจะทำให้คนอ่านตายได้ เขาอาจตกเหว นี่น่าจะเป็นเรื่องที่ควรเรียนควรสอนทั้งสิ้น

ไหนๆ ประเทศไทยก็จะได้เป็นเมืองหนังสือโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การผลิตคนทำหนังสือดีๆ ให้เหมือนกับประเทศที่มีวัฒนธรรมการอ่านหนังสือเป็นเลิศอย่างจีน ฝรั่งเศส
หรือเยอรมนีก็เป็นเรื่องที่ผู้หลักผู้ใหญ่ควรเหลียวมองสักนิด
แรกเริ่มอาจกระตุ้นให้เปิดสอนมากขึ้นในทุกภูมิภาค  ยิ่งเริ่มต้นได้เร็วเท่าไร
ประเทศไทยก็จะมีระบบหนังสือดีเร็วขึ้นเท่านั้น สักวันเราอาจมีหนังสือดี มีคนอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น
มีวัฒนธรรมการอ่านที่แท้จริง และมีคนทำหนังสือดีเพิ่มขึ้น

แต่เมื่อต้องพึ่งรัฐบาลให้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง คงมีเสียงบ่นเกรียว และสบประมาทว่าคงเป็นไปไม่ได้
หากจะเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนครั้งที่หมอในประเทศไทยยังมีน้อย ไม่เพียงพอต่อการรักษาคนป่วย
วันหนึ่งคนป่วยก็ออกมาร้องเรียนว่าหมอขาดแคลน รัฐบาลมองเห็นว่าเป็นจริงและจำเป็น
ทุกวันนี้แทบทุกมหาวิทยาลัยเปิดสอนแพทยศาสตร์ ผลิตหมอปีหนึ่งๆ ได้มหาศาล

คนในวงการหนังสือก็คล้ายคนป่วย ต้องออกมาร้องเรียน เพราะตอนนี้ 'บรรณาธิการกำลังขาดแคลน!'

อ้างอิงจาก : Life Style : Read & Write / bangkokbiznews.com

.

2 มิถุนายน 2556

ตอบอีเมล...เรื่องพิสูจน์อักษร

ว่างเว้นจากการเขียนบล็อกไปนาน...ให้รู้สึกละอายแก่ใจตัวเองยิ่งนัก
เมษายน - พฤษภาคม...ว่างเปล่า ปล่อยร้าง ห่างหาย และไร้คำสารภาพใดๆ!!!
ด้วยตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาโน่น ผมมีงานส่งเข้ามาให้ทำตลอด
แทบไม่มีเวลาได้ผ่อนพักใดๆ ชีวิตหมกจมอยู่กับการทำงาน ทำงาน ทำงาน และทำงาน
ไม่ใช่ว่าไม่อยากเข้าาอัพเดทบล็อก Open Life นี้นะ ทว่ามันไม่มีพลังจะกลั่นกรองคำออกมา
สภาพร่างกายแสนเหนื่อยล้า สภาพจิตใจก็อ่อนเปลี้ย แถมสภาพอารมณ์ยังตีบตันมึนตึ้บ

๑ สัปดาห์หนึ่งมี ๗ วัน...ผมก็ทำงานทั้งเจ็ดวันมาตลอด ๓ เดือนเต็มๆ
เพราะมีงานหนังสือส่งมาให้ทำ ๓-๔ ที่ 
บางที่ก็เร่ง บางที่ก็เร่งปานกลาง 
แต่ส่วนใหญ่มักจะเร่งด่วน!!!
และแล้วก็พานพบสัจธรรม 
ยามรับงานที่ผู้จ้างต้องการด่วนพิเศษเมื่อใด 
เมื่อนั้นแหละสวรรค์เบี่ยงโลกเบี้ยว
ผมแทบจะกินๆ นอนๆ อยู่หน้าโน้ตบุ๊กเลย
ก็แหม...เขาส่งงานมาแล้วขอสามสี่วันเสร็จ 
ขณะงานอาจมีราวๆ ๒๐๐-๓๐๐ กว่าหน้า 
คละเคล้ากันไป (คิดจากที่จัดหน้าแล้ว)

ได้เวลากักขังตัวเอง เตรียมสมาธิ พลัง และข้าวปลาอาหาร
เพราะเมื่อตกปากรับคำรับงานเสร็จสรรพ ความรับผิดชอบต่องานนั้นๆ ก็ต้องมี...
ต้องทำให้ทัน... หรือพูดง่ายๆ ห้วนๆ คือ "งานต้องเสร็จ" นั่นเอง

ผมก็บ่องตง...บอกตรงๆ ว่า ตอนนี้มีผู้ว่าจ้างที่ส่งงานให้ทำสม่ำเสมออยู่ ๔ บริษัท
เป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คสักสาม และนิตยสารรายเดือนหนึ่ง
ขณะที่ก็มีขาจร หรือสำนักพิมพ์บางแห่งติดต่อมาเพื่อจะส่งงานให้ ซึ่งผมก็ต้องปฏิเสธอย่างสุภาพไป
เพราะงานที่ล้น ไหนจะงานที่ค้างคาราคาซัง อ้าว...ยังมีงานที่เวียนกลับมาอีกรอบ
นี่ถ้าแยกร่างได้คงแยกร่างไปแล้ว กระนั้นในความเป็นจริงมันไม่ใช่....

ช่วง ๓ เดือนที่ห่างหายจากบล็อกนี้ไป เพราะต้องทำงานหนังสือแหละครับ
แต่ ณ ตอนนี้...อยากขออนุญาตนำอีเมลที่ส่งมาหาผมซึ่งได้อ่านบล็อกนี้มาตอบกันดีกว่า
เพราะในบล็อก Open Life ผมเจตนาปิดไม่ให้แสดงความคิดเห็น หรือคอมเม้นต์ใดๆ ได้

เริ่มจาก...ผู้ชายท่านหนึ่งที่เมลมา (ขออภัยรีไรท์ภาษาบ้างนิดๆ)

****
สวัสดีครับ คุณ (ผมไม่ทราบชื่อT_T) เหตุเพราะบังเอิญได้ไปเจอบทความของท่านใน openlife26.blogspot.com ตัวผมเองที่มีความสนใจในการทำงานด้านพิสูจน์อักษรอยู่แล้ว 
จึงได้เข้าไปอ่าน กะจะอ่านแค่ผ่านๆ ตา แต่เอาไปเอามา สนุกแฮะ ^^ 
อันดับแรกต้องขอบอกก่อนเลยว่าท่านเขียนและเรียบเรียงได้สนุก น่าสนใจมากครับ 
สามารถเป็นนักเขียนออกหนังสือเองได้สบายๆ เลย 
....ผมมีความสนใจในการทำงานสำนักพิมพ์จึงใคร่ขอรบกวนขอความกรุณา 
ขอคำปรึกษาเรื่องจิปาถะเกี่ยวกับงานด้านนี้สักหน่อยจะเป็นไปได้ไหมครับ 
อาจจะผ่านทางช่องทางอีเมล์ หรือเฟซบุ๊คก็ได้ครับ ขอบคุณครับ ^^ 

ตอบ : ขอตอบรวมๆ ละกันนะ ว่า...ขอบคุณและขอบใจมากครับสำหรับคำชม
ผมไม่ใช่นักเขียนหรอก แค่คนทำงานหนังสือเบื้องหลังผู้ต่ำต้อยที่รักอิสระและความเป็นธรรม ><
และที่ผมทำบล็อกนี้ขึ้นมานั้นก็หมายบันทึกความคิดเห็น หรือความรู้สึกส่วนตัวที่แบ่งปันกันได้
ส่วนที่อยากปรึกษาก็ลองไล่เป็นหัวข้อๆ มาก็ได้นะ ถ้าผมตอบหรือให้ข้อมูลได้ ผมจะนำมาลงในบล็อกนี้
ด้วยคิดว่า...เผื่ออาจเป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆ ได้บ้าง เรามาร่วมแบ่งปันควารู้และประสบการณ์กันดีกว่า

****
มาถึงเมลจากน้องสาวผู้หนึ่งบ้าง

ก่อนอื่นต้องบอกว่ายังเป็นนักเรียนอยู่ค่ะ และชอบอ่านหนังสือ
ตอนนี้อยากรู้ว่าถ้าจะลองพิสูจน์อักษรบ้างต้องทำแบบไหน 
มีที่ไหนที่เปิดรับเด็กมัธยมปลายบ้างคะ 

ขอบคุณสำหรับบล็อกดีๆ และคำแนะนำค่ะ
เด็กมัธยม

ตอบ :  ผมให้ดีใจล้นทวีที่เด็กๆ สมัยนี้ยังสนใจการอ่านหนังสือมากกว่าบ้าคลั่งเทคโนโลยี
ไม่หลงไปกับแสง สี เสียง หรือสังคมโซเชียล เน็ตเวิร์กต่างๆ นานาที่แสนยั่วเย้า
ต่อคำถามของน้อง...พี่อยากแนะนำว่าให้ตั้งใจเรียน และถ้ามีเวลาก็อ่านหนังสือมากๆ ครับ
ชอบแนวไหนก็อ่านไป แต่ถ้ารักที่จะอ่านหนังสือหลายๆ แนว หลายแขนง ก็ดียิ่งขึ้น
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้ ยิ่งซึมซับ และได้เก็บคลังคำเข้าสู่ความจำ อ่านมากก็สะสมคำมาก
ทั้งได้ศึกษาสำนวนภาษา หรือกลวิธีของงานเขียนในแต่ละประเภทด้วย

เรื่องจะลองทำงานพิสูจน์อักษรนั้น ยังมีรายละเอียดที่ต้องหาประสบการณ์เพิ่มเติมอีกจ้า
ซึ่งน้องยังเรียนอยู่ระดับมัธยมปลายนั้น คงยังไม่มีที่ไหนว่าจ้างหรอกครับ
เพราะงานแบบนี้ไม่ใช่แค่เพียงอ่านเฉยๆ หาคำถูกผิดแล้วจบ
ผู้ปรู๊ฟก็ต้องด่ำดิ่ง ละเอียดลออ และเข้าใจร่วมไปกับเนื้อหางานในแต่ละเล่ม
ไหนจะสัญลักษณ์การตรวจปรู๊ฟที่ต้องใช้ ไหนจะต้องช่วยดูรูปแบบการจัดหน้า
จะต้องตัดคำเช่นไร วรรคตอนแบบไหน หรือทำยังไงให้หนังสือลงยก ฯลฯ
โอ้ย...ยังมีอีกสารพัดปัญหาและสารเพอารมณ์คนที่น้องต้องเผชิญ...

..........

คงเท่านี้ก่อนนะ กระผมต้องขอตัวไปทำงานต่อ...
ยังมีหนังสืออีก ๒ เล่มที่ต้องจัดการ เพราะเลทงานล่าช้ามานานแล้ว...
.