ความจริงบทรำพึงรำพันนี้ได้เขียนลงอยู่ในบล็อกหนึ่งของผมไว้แล้ว
ทว่าที่สุด ผมก็ตัดสินใจลบบล็อกดังกล่าวทิ้งไป ด้วยไม่ค่อยมีเวลาอัพและไม่ใช่สไตล์ตัวเองเท่าไหร่
กระนั้น เพราะอยากให้เป็นบทบันทึกชิ้นหนึ่งในชีวิตที่ยังคงอยู่...จึงขอนำมาลงในที่นี้แทน
สัตว์ตัวแรกที่ผู้เขียนเลี้ยงสมัยเด็กๆ ก็คือสุนัขพันทางตัวผู้ตัวหนึ่ง โดยตั้งชื่อมันว่า
"มอม"
ตามตัวเอกในหนังสือของ
ม.ร.ว. ศึกฤทธิ์ ปราโมช นั่นเอง
ซึ่งมอมของผู้เขียนนั้นดุมาก มอมจะจำคนบางคนที่มันไม่ชอบหน้าได้
เวลาเจอหน้าค่าตากันทีไรมันจะเห่าทุกครั้ง บางทีเขาปั่นจักรยานหรือขี่มอเตอร์ไซค์มา
เจ้ามอมก็มักวิ่งตุเลงๆ ไล่กวดแล้วเห่าขรม ยังดีที่มันไม่กัดโดน
แต่แล้ววันหนึ่งเจ้ามอมก็กัดงับโดนเต็มๆ ทำเอาพ่อของผู้เขียนต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ส่วนแม่ก็ต้องออกเงินค่ารักษาตามสมควร จากเหตุการณ์นี้จึงทำให้จำต้องซื้อโซ่มาล่ามเจ้ามอมไว้บางเวลา
ตอนนั้นผู้เขียนก็สงสารมันจับจิต เลยแอบปล่อยมันให้อิสระบ่อยครั้ง หรือไม่ก็พาไปเดินเล่นกับพรรคพวกบ้าง
เมื่อเจ้ามอมโตได้สักหนึ่งปีกว่า มันก็คงได้พบรักกับหมาสาวแน่ๆ เพราะตกกลางคืนที่ล่ามโซ่มันไว้
มอมจะร้องและหอนตลอดเพราะเกิดอาการติดสัด
ซึ่งคืนไหนถ้าไม่ล่ามมันไว้ มอมก็จะหายไปจากบ้านสองสามวัน บางคราก็หายหัวไปร่วมสี่ห้าวัน
พอมันกลับมาก็ผอมโซมาเชียว ช่วงติดสัดนี้ เจ้ามอมจะมาๆ หายๆ เป็นประจำ
บางคนก็บอกว่ามันไปติดหมาตัวเมียบ้านโน้น
บางคนก็แจ้งว่าเห็นมันไปป้วนเปี้ยนเฝ้าคลอเคลียหมาสาวแถวบ้านนั้น
เรื่องที่ผู้เขียนจำได้ติดตาและสนิทใจมาก ก็คือ เจ้ามอมไปกัดเด็กเข้า แล้วพ่อแม่เด็กจะเอาเรื่องยกใหญ่
โดยจะวางยาเบื่อมันให้ตาย ซึ่งที่สุดทางพ่อแม่ผู้เขียนก็เจรจาคุยจนจบเรื่องได้
แต่...แต่ต้องเอาเจ้ามอมไปปล่อย เพราะกลัวมันจะไปกัดเด็กคนอื่นเข้าอีก
ซึ่งแน่นอนพลันที่ตัดสินใจไปเช่นนั้นแล้วความเศร้าหมองก็แผ่ปกคลุมไปทั่วบ้าน
เวลาที่ได้เลี้ยงและได้อยู่กับเจ้ามอมมานั้นไม่เคยไร้ค่าเลย มันได้สร้างสะพานเชื่อมเล็กๆ ให้คนในครอบครัว
ทุกคนล้วนมีความผูกพันกับมอม แต่เพื่อไม่ให้คนในชุมชนเกิดความรู้สึกไม่ดี หรือบาดหมางแคลงคลางใจกัน
ทางเลือกหนึ่งเดียวคือเอามันไปปล่อยดีกว่าให้มันโดนเบื่อยาตาย
ซึ่งคนในชุมชนที่รักและเอ็นดูเจ้ามอมก็มี พวกที่ไม่ชอบหรือกลัวมันจะไปกัดลูกหลานเขาเข้าก็มีเช่นกัน
เมื่อตัดสินใจที่จะเอาเจ้ามอมไปปล่อย...
ผู้เขียนจำได้ไม่ลืมว่าร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก น้ำตาแอบสองแก้ม เพราะเป็นคนอุ้มมันตั้งแต่ตัวเล็กๆ มาเลี้ยง
ทั้งที่พ่อแม่ก็คัดค้านเสียงแข็ง แต่ด้วยวัยขนาดนั้นผู้เขียนก็ย่อมอยากมีสัตว์เลี้ยงเหมือนคนอื่นๆ บ้าง
อยากมีเพื่อนต่างพันธุ์ไว้เล่นสนุกยามอยู่กับบ้าน ชอบที่จะลูบหัวมัน เพลินที่จะหาเห็บให้มัน
หรือลากถูลู่ถูกังพามันไปอาบน้ำ ชวนมันไปกระโดดน้ำคลองเล่นบ้าง
ยามที่พาเจ้ามอมไปเดินเล่น มันจะชอบมาก และกระดิกหางอย่างดีใจล้นเหลือ
วันที่พ่อเอาเจ้ามอมไปปล่อยนั้น บรรยากาศในบ้านอึมครึมและวังเวง
ทุกคนพลอยซึมเศร้าแลหมดชีวิตชีวา แม้แต่สายลมยังนิ่งสงัด
พ่ออุ้มเจ้ามอมขึ้นรถแล้วนำไปปล่อยห่างจากบ้านราวห้ากิโลเมตรได้
หลังจากนั้นราวสามวัน...
เจ้ามอมก็กลับมาบ้านถูก มันมาถึงในสภาพผอมโซ ตัวมอมแมมและกลิ่นเหม็น
ผู้เขียนรู้สึกดีใจอย่างสุดจะกล่าว รีบหาข้าวให้มันกินทันใด
แล้วจัดการอาบน้ำให้สะอาด ถึงขนาดเอาแป้งน่ารักพรมโรยฟุ้งไปทั่วตัวมันให้หอมๆ
วันนั้นผู้เขียนให้สุขแสนอุราและเริงร่าจริงๆ
แต่ชะตาของเจ้ามอมก็หาได้กำหนดด้วยตัวมันเอง แม้นจะผูกพัน รัก หรืออาลัยมันเพียงใด
แต่ด้วยวิถีชีวิตบ้านนอกท้องถิ่นที่ต้องเคารพกัน เพื่อความเป็นระเบียบและสงบของสังคมเล็กๆ
ที่สุดเจ้ามอมก็ต้องถูกนำไปปล่อยอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันจะถูกคลุมกระสอบเพื่อไม่ให้จำทางได้
และจะต้องไปปล่อยให้ไกลกว่าครั้งก่อน...
ช่วงเวลานั้น น้ำตาพลันไหลเปื้อนแก้ม ท้องฟ้าแลดูเป็นสีเศร้าหม่น
"แม่ครับ อย่าเอามอมไปปล่อยเลยนะ หนูสงสารมัน"
"ไม่ได้จ๊ะ ลูก พ่อผู้ใหญ่แจ้งมาว่ายังไงๆ ก็ต้องเอามันไปปล่อย"
"แล้วมันจะอยู่ยังไงครับ มันจะกินอะไร เดี๋ยวมันก็โดนหมาตัวอื่นกัดแน่ๆ"
"พ่อบอกว่าจะเอาไปปล่อยที่วัด มันไม่อดหรอก"
"แต่แม่ครับ ให้มอมอยู่บ้านเราเถอะนะ หนูจะดูไม่ให้มันกัดใครอีก"
"ลูกเอ๋ย... ตัดใจจากมอมนะ แล้วตั้งใจเรียนดีกว่า"
ในที่สุดเจ้ามอมก็ถูกนำไปปล่อยเป็นหนที่สอง
ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์...
จู่ๆ เช้าวันหนึ่งก็เจอเจ้ามอมมานอนหมอบราบอยู่หน้าบ้านในสภาพที่ผอมโกรก อิดโรย และสกปรก
มันกลับมาได้อีกครั้ง กลับมาเยี่ยงนักพเนจรที่ไปท่องมาไกลสุดหล้า มันกลับมาแล้ว มอมกลับมาแล้ว
ทุกคนในบ้านพากันอึ้ง ประหลาดใจ และรู้สึกหลากหลาย
สุดท้าย เจ้ามอมก็ได้กลับคืนสู่บ้านของมัน ไม่มีใครคิดเรื่องจะเอามันไปปล่อยอีกเลย
ทุกคนยอมรับว่ามันคือหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเหมือนเดิม โดยไม่สนใจว่าใครจะมาวางยาเบื่อมัน
ใครจะตำหนิต่อว่าหรือทวงถามที่ยังเอาเจ้ามอมไว้อยู่...ก็ต้องชี้แจงเหตุผลไป...หมาก็มีหัวใจนะ
ซึ่งหัวใจ ความรัก และความซื่อสัตย์ของมันนั้นสุดยากสรรหาคำใดมาเปรียบเปรย
พวกเราไม่ใส่ใจว่าคนอื่นๆ จะคิด นินทา หรือสาปแช่งครอบครัวเราเช่นไร
ใครจะใจดำเอามันไปปล่อยทิ้งอีกล่ะ ในเมื่อเจ้ามอมได้พิสูจน์ว่ามันมีบ้าน...มีครอบครัว...
หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่ปี เจ้ามอมก็ตายตามอายุขัย
โดยผู้เขียนเป็นคนแบกจอบไปขุดหลุม แล้วอุ้มมันฝังด้วยตัวเองทั้งน้ำตา
พร้อมกับพร่ำบอกตัวเองว่าจะไม่ขอเลี้ยงสัตว์ใดๆ อีกเลย ไม่อยากเห็นมันด่วนมาจากไปก่อน
หลับให้สบายนะ...มอม, เพื่อนยาก
.