21 มีนาคม 2556

ลมหายใจ “คนพิสูจน์อักษร”

เมื่อสื่อสิ่งพิมพ์ถูกอนาคตไล่ล่า จากเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด
จนทำให้การนำเสนอข่าวในยุคปัจจุบัน หันไปแข่งกันเรื่อง “ความเร็ว” มากกว่า “ความถูกต้อง”


โปรยเกริ่นๆ แบบชวนอ่านผสานอยากชวนคุยแบบเรื่อยเปื่อยสักนิด
ด้วยช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลามาอัพเดท Blog น้อยๆ แห่งนี้ เพราะต้องมุ่งมั่นทำงาน
โดยงานที่ทำนั้นก็คือ พิสูจน์อักษรอิสระ ให้กับที่ต่างๆ หลายๆ แห่ง
กล่าวได้ว่าต้องทำงานทุกวัน อ่านตรวจตัวอักษรทุกคืน ทั้งจากหน้าคอมพ์และหน้ากระดาษ
ขนาดวันเสาร์-อาทิตย์ยังต้องทำงานตลอด ทว่าก็มีความสุขใจเสมอยามได้อ่าน ได้ซึมซับ ได้ปรู๊ฟ
เอาละ ขอนำเข้าสู่เนื้อเรื่องที่อยากเอามาบอกเล่า บอกต่อ และเผยแพร่กันดีกว่า
เป็นบทความหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาชีพ Proofreader ซึ่งนานๆ จะได้เห็นสักที

ลมหายใจ “คนพิสูจน์อักษร” ความสำคัญที่หายไปใน นสพ.ยุคใหม่?

สื่อดิจิตอล” ทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์
รวมถึงบล็อก ที่เคลื่อนไหวด้วยหลักนาที-วินาที
จึงเริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่ “สื่อกระดาษ” อย่างหนังสือพิมพ์
ที่เคลื่อนที่ด้วยหลัก “วัน”

ความเปลี่ยนแปลงข้างต้น ทำให้ทุกองคาพยพในวิชาชีพสื่อ
ตั้งแต่นักข่าวภาคสนามไปจนถึงเจ้าของกิจการ ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่
จนมีการข้ามสื่อกันอย่างอุตลุด จากหนังสือพิมพ์ ไปทำเว็บไซต์ไม่ก็โทรทัศน์
หรือจากทีวีก้าวสู่โลกโซเชียลมีเดีย
ข่าวๆ เดียวถูกนำไปเพิ่มมูลค่าด้วยการเสนอต่างแพลตฟอร์ม
ในยุคที่เรียกกันว่า “สื่อยุคหลอมรวม-convergence”

บุคลากรในวงจรสื่อหน่วยหนึ่งที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงไม่แพ้ใคร
นั่นคือ “พนักงานพิสูจน์อักษร” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ปรู๊ฟ (proof)
ที่ทำหน้าที่หลายคนมองว่า เป็น ผู้ปิดทองหลังพระ ของวงการหนังสือพิมพ์มาอย่างยาวนาน

โดยกลางปี 2555 ผู้บริหารสื่อเครือเนชั่น ได้ตัดสินใจพลิกหน้าที่ “ปรู๊ฟ” ของสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือ
จากการคอยเช็คคำถูก-คำผิดบนหน้ากระดาษ ให้มาทำหน้าที่แบ็คอัพทีมงานข่าวโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต
เพื่อรองรับการขยายตัวของสื่อดิจิตอล

เนื่องจากทางผู้บริหารเห็นว่า กระบวนการผลิตหนังสือพิมพ์มีหลายหน้าที่ซึ่งซ้ำซ้อนกัน
โดยเฉพาะการพิสูจน์อักษร เพราะมองว่ามีการกลั่นกรองคำผิด
ตั้งแต่ชั้น 1.นักข่าว 2.รีไรท์เตอร์หรือหัวหน้าข่าว และ 3.ซับเอดิเตอร์ อยู่แล้ว

เมื่อ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ขยับมาทำสื่อทีวีคู่ไปกับสิ่งพิมพ์
จึงต้องใช้ทีมงานผลิต “คอนเทนต์” เพิ่มเป็นจำนวนมาก
ผู้บริหารเครือเนชั่นจึงตัดสินใจขยับ “พนักงานพิสูจน์อักษร” ในกองหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ที่มีอยู่ราว 10 คน มาทำเบื้องหลัง “กรุงเทพธุรกิจทีวี” แทน เป็นการนำร่อง
ทิ้งให้เหลือ “ปรู๊ฟ” สำหรับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจไว้เพียง 1 คนเท่านั้น!
โดยให้ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของคำ เฉพาะหน้าหนึ่ง-หน้าสุดท้าย
และคอยชี้ขาดคำบางคำ เช่น คำราชาศัพท์
ส่วนเนื้อหาด้านใน เป็นหน้าที่ของ “นักข่าว-รีไรท์เตอร์-หัวหน้าข่าว” จะช่วยกันตรวจหาคำผิด
ขณะที่ “ซับเอดิเตอร์” จะต้องนำข่าวมาใส่ไว้ในโปรแกรม  Microsoft Word
ที่หากพบคำที่เขียนผิด จะขึ้นเป็นเส้นหยักสีแดง และเมื่อแก้ไขให้ถูกต้อง ถึงจะนำไปสู่การจัดหน้า

แหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กล่าวว่า...
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะผู้บริหารเครือเนชั่นมองว่า
มีบุคคลหลายตำแหน่งที่ทำงานซ้ำซ้อนกัน ในโมเดลแบบใหม่จึงจะให้นักข่าวปรู๊ฟเอง 1 รอบ
รีไรท์ฯ หรือหัวหน้าข่าวปรู๊ฟอีก 1 รอบ และซับฯ ปรู๊ฟอีก 1 รอบปิดท้าย

“ผลกระทบการลดจำนวนพนักงานพิสูจน์อักษร ทำให้ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจมีคำผิดมากขึ้น
โดยเฉพาะกรอบแรกที่ต้องส่งไปยังต่างจังหวัด เพราะต้องปิดให้ทันเวลา 1 ทุ่ม 

ส่วนกรอบสองที่ปิดก่อน 4 ทุ่ม จะพบคำผิดหรือคำตกบรรทัดน้อยลง 
เพราะได้ผ่านการตรวจสอบครั้งแต่กรอบแรกมากแล้ว” เขากล่าวถึงผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเครือเนชั่นมองว่า
โมเดลที่ใช้ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ค่อนข้างประสบความสำเร็จ
จึงเตรียมที่จะใช้โมเดลดังกล่าวไปปรับปรุงการทำงานใน “หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
โดยจะให้ (ว่าที่) อดีตปรู๊ฟไปช่วยงานด้านอินเตอร์เน็ตแทน

***
หลังทราบความเปลี่ยนแปลงของสื่อสิ่งพิมพ์เครือเนชั่น ในเวลาต่อมา
เราก็เดินทางไปที่สำนักงานสื่อแห่งหนึ่งริมถนนวิภาวดี
เพื่อสอบถามว่า สื่อสิ่งพิมพ์ที่มีคนอ่านมากที่สุดในประเทศ ด้วยยอดจำหน่ายกว่าล้านฉบับ
อย่าง “หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ได้เตรียมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปนี้อย่างไร?

ภิญโญ ทุมมานนท์ ฝ่ายประสานงานกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ผู้ควบคุมการพิสูจน์อักษรของหนังสือพิมพ์ที่มียอดพิมพ์ล้านฉบับทั้ง 6 กรอบ ซึ่งเริ่มต้นกล่าวว่า
ไทยรัฐให้ความสำคัญกับกองพิสูจน์อักษร เพราะเป็นงานที่ละเอียดอ่อน
ที่สำคัญ ยังมองว่าเป็นหน้าตาขององค์กร
เขาให้ภาพว่า ในกองพิสูจน์อักษรของหนังสือพิมพ์หัวเขียว
มีลมหายใจของ “นักพิสูจน์อักษร” ทั้งสิ้น 22 ชีวิต รวมกับหัวหน้ากองอีก 2 คน
โดยจะแบ่งการทำงานออกเป็น 3 กะ ซึ่งแต่ละกะคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา
โดยเวลา 18.00 น. ถึงเวลา 01.00 น. จะเป็นช่วงเวลาที่งานของกองพิสูจน์อักษรมากที่สุด
ซึ่งจะมีคนตรวจปรู๊ฟยืนพื้น 12-13 คน ส่วนช่วงเวลาหลังจากนั้น
จะลดจำนวนคนลงเหลือเพียง 5-6 คน เอาไว้คอยเก็บงาน
“การตรวจปรู๊ฟของไทยรัฐไม่มีสิ้นสุด เพราะเรามีถึง 6 กรอบ ตั้งแต่ 1 ดาวถึง 6 ดาว
ซึ่งเนื้อหาจะเปลี่ยนไปตามแต่ละภูมิภาค ทำให้ปรู๊ฟต้องทำงานตลอดเวลา”


ภิญโญ ยังอธิบายว่า พนักงานพิสูจน์อักษรของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
จะต้องมีความรู้รอบด้าน และอ่านหนังสือให้มาก
เพราะเป็นนโยบายของผู้ใหญ่ เนื่องจากคำเฉพาะบางคำที่นักข่าวเขียนมาผิด เมื่อไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
บางครั้งก็ปล่อยให้ผ่านไปเลย จึงต้องสะสมองค์ความรู้ไว้กับตัวให้มาก เพราะบางคำแค่ขยับไปนิดเดียว
ความหมายก็จะเปลี่ยนไป หรือการเว้นวรรค-ไม่เว้นวรรค หลายครั้งก็มีความสำคัญ

“ที่สำคัญ เราจะฝึกให้ปรู๊ฟทุกคนจำหน้าแหล่งข่าว ว่าใครเป็นใครให้ได้ 
คนดังๆ ของโลกต้องรู้จัก รวมถึงยศ ตำแหน่ง สายงานราชการ จะต้องรู้ 
เพราะบางครั้งเด็กเรียงพิมพ์อาจรับต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือของคอลัมนิสต์
มาพิมพ์ลงคอมพิวเตอร์ แล้วอาจพิมพ์ชื่อหรือยศผิด หรือเรื่องตัวเลขก็มีความสำคัญ
ปรู๊ฟบางคนไม่มีความเข้าใจ ก็คิดว่าเขาใส่มาเท่านี้ ก็คือเท่านี้ ทั้งที่จริงๆ นักข่าวอาจจะเขียนผิด”


เขายังกล่าวถึงวิธีการฝึกเด็กใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ในกองพิสูจน์อักษรของ “ไทยรัฐ” ว่า
ตามปกติจะต้องถูกฝึกอย่างน้อย 5 เดือน ถึงจะสามารถปล่อยให้ตรวจอักษรโดยลำพังได้
เพราะลักษณะงานเช่นนี้ ค่อนข้างละเอียดอ่อน
หากปล่อยให้มีคำผิดหลุดรอดไปบ่อยๆ อาจทำให้เกิดความเสียหายตามมา

ภิญโญยังกล่าวว่า...
ไม่เพียงเขียนผิด หรือใส่ชื่อ ยศ หรือตำแหน่งไม่ถูกต้องเท่านั้นที่สามารถทักท้วงได้
แม้กระทั่งพาดหัวไม่ตรงกับเนื้อหา หรือใส่รูปภาพไม่ตรงกับเนื้อหา 

คนที่มีหน้าที่พิสูจน์อักษรของไทยรัฐก็สามารถทักท้วงได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ทุกกระบวนการของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐจะต้องพิถีพิถัน เริ่มจาก
1. กระบวนการโต๊ะข่าวหน้าหนึ่ง ส่งต้นฉบับให้พนักงานเรียงพิมพ์เข้าหน้าตามดัมมี่ที่ฝ่ายศิลป์ออกแบบ
2. ปรู๊ฟตรวจจับคู่กัน อีกคนหนึ่งอ่าน อีกคนหนึ่งตรวจคำผิด ก่อนส่งต่อให้พนักงานเรียงพิมพ์จัดเข้าหน้าเต็ม
3. ปรู๊ฟตรวจหน้าใหญ่เป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนส่งไปยิงฟิล์ม และเข้าสู่ขั้นตอนการจัดพิมพ์

นอกจากนี้ ข่าวทุกชิ้นที่ผ่านกองบรรณาธิการแล้ว
ยังต้องส่งสำเนาอีก 2 ชุดมายังกองพิสูจน์อักษร โดยชุดหนึ่งจะมาอยู่ที่โต๊ะของภิญโญ
อีกชุดไปอยู่ที่โต๊ะของ สราวุธ วัชรพล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
เพื่อตรวจสอบดูความรอบคอบคู่ขนานไปด้วย
“คุณสราวุธเขาจะมอนิเตอร์ข่าวทุกวัน ถ้ามาดูแล้วเห็นว่า อ้าว! ไม่ใช่นะ ไม่ตรงกับที่รู้มา ก็จะให้แก้ไข
ท่านดูทุกหน้า อ่านเป็นปึกๆ อ่านผ่านๆ ตา เพราะมันเคยผิดบ่อยๆ จึงต้องระวังเยอะขึ้น”
ภิญโญเล่า

เขายังกล่าวว่า พนักงานพิสูจน์อักษรไม่ใช่ตำแหน่งปิดทองหลังพระ
ไม่ใช่คนสำคัญที่มาเกี่ยวข้องกับงานข่าว เหมือนนักข่าว
แต่ก็เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญเพราะทำให้งานหนังสือพิมพ์มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
“ยอมรับว่า สื่อสิ่งพิมพ์ถึงเวลาที่ต้องปรับตัวให้รับกับความเปลี่ยนแปลง 
แต่เนื่องจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เป็นหนังสือพิมพ์สำหรับชาวบ้าน
การปรับตัวของที่นี่จึงอาจจะทำแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป 

และคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเปลี่ยนไปแบบที่เครือเนชั่นทำ” ภิญโญกล่าว

โลกของการสื่อสารผันเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี จากเดิมที่ใช้คน ม้า นกพิราบ ดินเหนียว หนังสัตว์
กระดาษปาปิรุส เยื่อไผ่ มาจนเป็นกระดาษ และกลายเป็นสัญญาณไฟฟ้า เช่นปัจจุบัน

และแม้กระบวนการพิสูจน์อักษร จะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า
มีความสำคัญต่อการทำให้ “สาร” ที่ถูกส่งออกไป ไม่ “คลาดเคลื่อน” จากความเป็นจริง
แต่ท่ามกลางภาวะปัจจุบัน องค์กรหลายๆ แห่งอาจจะต้องหาวิธีปรับตัว
เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่หลั่งไหลเข้ามาดั่งสึนามิ

พนักงานพิสูจน์อักษรอาจถูกมองได้ทั้งเป็นผู้ไร้ความสำคัญทำงานซ้ำซ้อนกับตำแหน่งอื่นๆ 
หรือเป็นผู้ทำให้หนังสือพิมพ์มีความสมบูรณ์มากขึ้น

ไม่มีใครรู้ว่า มุมมองแบบไหนถูกหรือผิด คงจะต้องปล่อยให้เวลาคลี่คลายคำเฉลยออกมาเอง...

-----
เขียนโดย ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ 
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน "จุลสารราชดำเนิน" ฉบับที่ 25 ประจำเดือน ม.ค.-มี.ค. 2556

ที่มา : สำนักข่าวอิศรา