14 ตุลาคม 2555

ฟรีแลนซ์ ชีวิตที่ไม่ง่าย

ห่างหายไปหลายวันด้วยบังเอิญมีงานฟรีแลนซ์จากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งส่งมาให้ทำ
กอปรกับเฝ้ารอความหวังจากสำนักพิมพ์อีกหลายที่ซึ่งส่งใบสมัครไปของานดื้อๆ
ทั้งที่ลึกๆ ก็ไม่คาดหวังมากมาย มันไม่มีอะไรสวยงามและเฟอร์เฟ็กต์สมบูรณ์หรอก
เพียงแต่เศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจที่หมายว่าคงจะมีสักสามสี่สำนักพิมพ์ให้โอกาสบ้าง

ไหนๆ บล็อก เล่าไปเรื่อยเปื่อย อาจหมดแรงจะขับเคลื่อนในกาลข้างหน้า
ด้วยผู้เขียนอาจประสบชะตากรรมที่พลิกผันกระทั่งอาจหลีกหายจากโลกอินเทอร์เน็ต
ก็แหม...ยังไม่มีเงินจ่ายค่าเน็ตเดือนที่แล้วเลย ยังมิพักต้องกล่าวถึงว่าเดือนต่อไปๆ
ด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ จะหาทางออกหรือหาเงินจากไหนมาจ่าย ทุกวันนี้ก็อยู่แบบท้อใจและทำใจ
แม้นจะได้งานฟรีแลนซ์มาจากที่หนึ่ง ทว่ากว่าจะได้เงินนั้นก็ต้องรอและรอ
การรับงานฟรีแลนซ์นั้นต้องทำใจเรื่องรายได้ที่ไม่แน่นอน และวันที่จะได้รับค่าตอบแทน

Open Life
ไหนๆ บล็อกนี้อาจมาถึงจุดวิกฤตและสิ้นสุดในไม่ช้า...
ผมจึงใคร่ขอผันแปรหัวข้อโพสต์เป็น ภาษาไทย ซะเลย
เอาแบบสื่อสารกันตรงๆ เยี่ยงชาวไทยหัวใจรักแผ่นดินถิ่นฐานบ้านเกิด
ทั้งอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่อันยากคาดเดานี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวแสนเบื่อบรมและสุดเห่ยต่อไป
จริงๆ ผมก็อยากประวิงเวลาและยืดเยื้อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดื้อด้านและดึงดันให้สุดๆ
ด้วยหัวใจยังชอบที่จะเขียน คือถ้าไม่อ่านก็ต้องเขียน (พิมพ์) ทว่าชีวิตนั้นไม่ง่ายและไม่งามดั่งฝัน

Freelance... ผมนึกยังไงหนอถึงพยายามจะหางานฟรีแลนซ์ทำ
ในยุคที่อนาคตค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ วันละ 300 บาท และจบปริญญาตรี เงินเดือน 15,000 บาท
แถมเป็นงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับ บรรณาธิการ และ พิสูจน์อักษร ด้วย
อุบ๊ะ...มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หมิ่นเหม่ และมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือไรกัน
ซึ่งวันเวลาที่ผ่านไปหลายเดือนนั้นก็ให้คำตอบชัดเจนที่สุดแล้ว ว่า...มันไม่ง่าย
ส่วนใหญ่งานหนังสือมักจ้างเป็นพนักงานประจำมากกว่า ด้วยควบคุมดูแลง่าย สั่งการได้ไว
หรือช่วงปิดต้นฉบับ ปิดเล่ม ใกล้เทศกาลงานขายหนังสือ อาจต้องนอนค้างที่บริษัทฯ ด้วย
แต่หากจะจ้างงานแบบ "ฟรีแลนซ์" แล้ว ต้องรอให้งานล้นกองบรรณาธิการและคนในทำไม่ทัน
ก็อาจมีการเรียกใช้บริการเหล่ามือปืนรับจ้างฟรีแลนซ์เหล่านี้บ้าง (ลาภลอยที่ลิบเลือน)

รับจ้าง พิสูจน์อักษร Freelance และ บรรณาธิการอิสระ
ผมได้ไปตะลอนลงประกาศฝากไว้ตามเว็บต่างๆ เพื่อพยายามดิ้นรนหาเงินเพื่อการมีชีวิตรอด
ทั้งเผื่อว่าอาจมีบริษัทหรือสำนักพิมพ์ไหนสนใจบ้าง กระนั้นก็ดูจะเงียบเชียบและว่างเปล่า
ประหนึ่งชาวประมงที่ออกเรือสู่มหาสมุทรเวิ้งว้างเบื้องหน้า โดยมิรู้ว่าเทียวกลับจะได้ปลามาเท่าไหร่

ทว่าที่สุด ผมก็ยังคงมีความหวังอยู่ แม้นจะแลดูริบหรี่และรางเลือนก็ตาม
ไม่รู้สิ...หากชีวิตไร้ซึ่งความหวังและความฝันแล้วจะอยู่เช่นไรล่ะ--
หรือบทสรุปของที่สุดคงไม่แคล้วต้องอยู่กับความเป็นจริง ทั้งก้มต่ำยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ในเมื่อเลือกทางที่จะหางานแบบฟรีแลนซ์แล้ว ก็ควรน่าเคารพการตัดสินใจของตัวเอง
ถึงแม้นท้องจะหิวแสบ หนี้สินจะมากมาย และยังมองไม่เห็นแสงสว่างเบื้องหน้าเลย

เห้อ...เมื่อไหร่หนาจะหลุดพ้นและได้เขียนบล็อกโอเพน ไลฟ์นี้ด้วยความดีใจเริงร่า สุขี
มีท่วงทำนองอารมณ์ขัน หรือสมองแช่มชื่น ด้วยหัวใจเบิกบาน และด้วยความรู้สึกปีติสุขบ้าง

นึกถึงบทกวีของพี่โย - เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ วรรคหนึ่งขึ้นมาทันใด
“พื้นที่ข้างนอกสิ้นไร้    พื้นที่ข้างในไพศาล
เขียนเถิดเขียนจิตวิญญาณ    เขียนเพื่อเบิกบานด้านใน –ฯ"


ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ทำงานฟรีแลนซ์ทุกท่าน และผูัทำงานประจำทุกนาม
เพราะการมีงานทำย่อมหมายถึง "เงิน" ที่จะตามมา...