เคยไหม? กับบางวันที่แสนเลวร้าย แล้วหลังจากนั้นก็ยิ้มสดชื่น
เคยไหม? กับอารมณ์แสนหม่นหมอง แล้วจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสดใส
เคยไหม? กับเรื่องราวที่ทำให้ใจเศร้าระทม ก่อนจะพานพบเสียงหัวเราะร่า
เคยไหม? วันนี้ความรักบินจากไป กระทั่งวันต่อมาเจอคนที่ใช่...
วันนี้... ช่วงก่อนเที่ยง ผมได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจากบริษัทหนึ่ง ใจความดังนี้
เรื่อง ผลการสัมภาษณ์และคัดเลือก
เรียน คุณ..........
ตามที่ท่านได้มาเขียนใบสมัครและสัมภาษณ์ที่บริษัทฯ นั้น
หลังจากที่ทางบริษัทฯ ได้พิจารณาแล้ว จึงใคร่ขอแสดงความเสียใจ
ที่จะเรียนให้ท่านทราบว่าประสบการณ์และคุณสมบัติของท่านไม่ตรงกับความต้องการกับตำแหน่งงาน
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้ความสนใจในงานของบริษัทฯ
และจะพิจารณาใบสมัครของท่านในกรณีที่มีตำแหน่งงานว่าง และเหมาะสมในโอกาสต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
แผนกบุคคลและธุรการ
บริษัท ...... จำกัด
ครับผม...ผมรับทราบว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติพอ และไม่ต้องมาเสียใจกับผมหรอกครับ
ผมไม่ต้องการถ้าหากไม่ได้กลั่นออกมาจากหัวใจแท้จริง แต่ก็ขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งที่ตอบเมล์กลับมา
ผมเข้าใจดีว่า...นี่คือแบบฟอร์มตอบกลับโดยทั่วไปที่เป็นการปฏิเสธอย่างแสนสุภาพที่สุด
อืม ประสบการณ์ผมบกพร่องและด้อยค่าขนาดนั้นเชียวรึ หรือผมมันต่ำต้อยไร้ราคาเยี่ยงกุลีหรือไร
ผมติดใจคำว่า "ประสบการณ์" จริงๆ ว่าใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวชี้วัด
มันเป็นคำที่ทำร้ายความรู้สึก และบั่นทอนความมั่นใจดีแท้ ผมไม่ได้ถืออัตตาในตนเองมากมายนัก
"เรียนให้ท่านทราบว่าประสบการณ์และคุณสมบัติของท่านไม่ตรงกับความต้องการกับตำแหน่งงาน"
เรื่องคุณสมบัติ ผมยอมรับได้เพราะสามารถตีความหมายในอาณากว้างๆ ได้
แต่แหมๆ ประสบการณ์ของท่านไม่ตรงกับความต้องการกับตำแหน่งงาน มันแทงใจเจ็บจี๊ดๆ นะ
ประสบการณ์งานร่วมสิบกว่าปีในด้านที่ผมสมัครงานตำแหน่งนั้น บริษัทคุณทำให้ผมตัวกระจิริดไปเลย
ว่าแบบทรนงในศักดิ์ศรีเล็กๆ ในฐานะคนจนลูกชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่มีศักดินา
ผมก็อยากท้าเอาบุคลากรในตำแหน่งนี้ในที่นั้นทุกท่านมาพิสูจน์ (ภาษากำลังภายในก็ท้าประลอง)
"ประสบการณ์และคุณสมบัติ" ของเนื้องานจริงๆ แบบหาคนกลางข้างนอกเป็นผู้ตัดสิน
โดยเอาต้นฉบับมา ๑ เล่ม หนาสัก ๑๐๐ หน้า ขอเนื้อหาแบบไม่สมบูรณ์ครบเครื่องเลย
แล้วทดสอบทำกันดูว่าใครทำได้ดีที่สุดหรือผิดพลาดน้อยที่สุด
เพื่อความเร้าใจ ก็ต้องจับเวลาด้วย หรือเอา ๑๐ หน้า ภายใน ๑๐ นาทีก็ได้
"จะพิจารณาใบสมัครของท่านในกรณีที่มีตำแหน่งงานว่าง และเหมาะสมในโอกาสต่อไป"
โอ๊ยๆ ขนาดตำแหน่งงานที่ผมสมัครยังไม่มีประสบการณ์และคุณสมบัติพอ
แล้วจะให้ผมไปวาดหวังอะไร หรือรอโอกาสเหมาะสมอันใดครับ ผมเจียมเนื้อเจียมตัวมาก
ผมว่าคุณโยนใบสมัครงานของผมลงทิ้งถังขยะไปได้เลย หรือว่าโยนทิ้งไปแล้ว---
***
วันนี้... ช่วงเย็นๆ ผมได้รับอีเมลจากบริษัทอีกแห่งหนึ่ง ใจความดังนี้
เรียน คุณ..........
ผลการทดสอบกองบรรณาธิการ กองพิสูจน์อักษร ทางฝ่ายส่งผลลงมาให้แล้ว
ผลคือ ทดสอบผ่าน ให้ทดลอง Freelance ค่ะ ขอบคุณค่ะ
เจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคล
บริษัท ....... จำกัด
ผมขยี้ตาอ่านซ้ำอีกที หยิกขาตัวเองด้วย อ่านทวน...ข้อความอาจสั้นทว่าได้ใจความ
ไม่ต้องประดิดประดอยประโยคให้หรูเลิศ ดูเป็นฝ่ายธรรมะ เอาแบบตรงๆ จริงใจพอ
แม้นผมจะยังติดใจ (อีกละ) "ให้ทดลอง Freelance" ว่าความหมายที่ต้องการบอกแบบไหน
กระนั้น ไว้ค่อยโทร.ถามเพื่อความกระจ่างชัดอีกที มิอยากจับยามตีความไปเองเออเอง
ซึ่งบริษัทนี้ ก่อนหน้าได้เมลมาให้ผมไปกรอกใบสมัครและทำแบบทดสอบในตำแหน่งที่ผมอยากทำ
โดยแบบทดสอบจะแบ่งเป็น ๒ ขั้น ข้อเขียนหมด มีผู้สมัคร (งานประจำ) มาร่วมทดสอบราวสิบกว่าคน
ซึ่งขั้นแรกทดสอบหลักการกระบวนทางความคิดผ่านโจทย์คณิตศาสตร์ มี ๑๐ ข้อ (ห้ามใช้เครื่องคิดเลข)
ส่วนขั้นสองก็เป็นการทดสอบความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ประมาณนิยายหนึ่งบท
ผมชอบนะ เวลาสมัครงานแล้วมีการ test หรือทดสอบความรู้ด้านนั้นๆ
อย่างน้อยๆ เราก็ได้แสดงความสามารถ ความรู้ หรือศักยภาพของตนเอง
ส่วนจะทำได้ หรือไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะขึ้นอยู่กับตัวเราเองล้วนๆ
แต่เวลาสัมภาษณ์ จะโกหกและสร้างภาพกันได้ อยากพูดให้ตัวเองดูดียังไงก็บรรยายได้
สมัยผมเคยทำงานประจำ ผมก็ออกข้อเขียนแบบทดสอบให้ผู้ที่มาสมัครงานในตำแหน่งที่ผมดูแลอยู่
เพราะผลของแบบทดสอบนั้นจะบ่งบอกถึงองค์ความรู้ของผู้สมัครได้ โดยไม่คำนึงถึงหน้าตา อายุ
ถ้าเคยดูรายการ The Voice Thailand เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ (ตัวจริงเสียงจริง)
นั่นแหละ การคัดเลือกคนมันต้องแบบนั้น เปิดโอกาสให้แก่กันแล้วพิจารณาที่ความสามารถเป็นหลัก
ส่วน ชื่อ บริษัทที่แจ้งว่า... ผม ทดสอบผ่าน นั้น ไว้ผมจะมาเปิดเผยให้ทราบ
(ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ระหกระเหินตกอับหายตัวไปจากโลกอินเทอร์เน็ต)
และจะขออุทิศเขียนให้หนึ่งโพสต์แบบเต็มๆ ซึ่งถ้าได้ยินชื่อบริษัทน่าจะรู้
หรือโฟกัสบอกชื่อหนังสือที่ขายดีและดัง ผมเชื่อแน่ว่าทุกท่านจะร้อง...อ๋อ...
***
โพสต์นี้ไม่ได้มีเจตนาลบหรืออคติอันใด ก็แค่ความคิดเห็นเล็กๆ ในสังคมโซเชียล
ผมเพียงอยากแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นบันทึกไว้เผื่อคนรุ่นหลัง หรือคนที่กำลังหางานทำอยู่
จงสู้ต่อไปครับ หากคิดว่าเราคือเมล็ดพันธุ์ที่ดี ไม่ว่าผืนแผ่นดินเป็นเช่นไรก็ต้องพยายามเติบโตให้ได้
อย่าให้ใคร หรือบริษัทไหนมาทำลายความเชื่อมั่นในตัวตนของเราเป็นอันขาด
ที่นี่ไม่เห็นคุณค่าเรา ที่อื่นก็ยังมี ทั้ง "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" ไม่ใช่การเลียแผล็บๆ สมองกลวง
หน้าไหว้หลังหลอก ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ สวมหัวโขนเข้าหากันเพียงเพื่อผลประโยชน์ที่ลงตัว
โลกหนักเพราะเราแบก
โลกแตกเพราะเราเร่ง
โลกที่เห็นจึงเส็งเคร็ง
เพราะเราเองเห็นแก่ตัวฯ
สำหรับผมแล้ว...ยังต้องดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป
หนทางข้างหน้าไม่ได้ลาดยางมะตอย ไม่ได้มีดอกไม้เบ่งบานสล้างสองข้างทาง
การหางาน Freelance ทำ ก็อาจดูประหนึ่งเปลวเทียนกลางพายุ ที่พร้อมจะมอดดับได้ทุกเมื่อ
ยิ่งลมแรงก็ยิ่งดับง่าย ละลายง่าย ทั้งไม่รู้ว่าเมื่อดับแล้วจะจุดติดได้อีกหรือไม่... และจะมีไม้ขีดหรือเปล่า...
ทว่าเปลวเทียนในยามที่อากาศสงบ ลมสงัดนิ่ง ราตรีกาลโรยตัวประดับฟากฟ้า
แสงเทียนเล่มน้อยๆ ก็ย่อมให้ความสว่างพอ หรือให้ไออุ่นกับแมลงตัวน้อยได้เช่นกัน
ในอนาคตอีกร้อยปี...พันปี...หมื่นปี...โลกเราอาจกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ก็ได้
ธรรมชาติอาจเรียกคืนกับมนุษย์ ลงทัณฑ์ผู้คน เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ตักตวงมาใช้
เมื่อนั้นอาจไม่มีไฟฟ้า ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีน้ำมัน ไม่มีแก๊ส ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
ยามนั้นหากได้เห็นเปลวเทียนเต้นเรื่อๆ รางๆ ก็สามารถขับไล่ความกลัวในจิตใจได้...ไม่มากก็น้อย