21 มิถุนายน 2555

Life บางเสี้ยวชีวิตในวันเก่าๆ

สารภาพตรงๆ ว่า บทความชิ้นนี้ ผู้เขียนเคยบันทึกลงในบางบล็อกไว้แล้ว
แต่ด้วยความเกียจคร้านและเมามายมากเกิน จึงไม่ได้อัพเดทบล็อกแต่อย่างใด
เขียนแล้วก็ทิ้งแบบไม่เหลัยวแล ปลีกตัวออกห่างจากอินเทอร์เน็ต
เลยทำให้บล็อกที่เคยสมัครไว้ครั้นกระโน้นไร้ความเคลื่อนไหว
หยากไย่เยอะแยะ ยุงบินว่อน และรกร้างว่างเปล่าไปโดยปริยาย

กระนั้น ผู้เขียนก็ยังให้รู้สึกชอบท่วงทำนองสมัยที่ตัวเองริเริ่มหัดเขียนบล็อก
ตอนนั้น ร่ำๆ ว่าจะศึกษาการทำ Blog ให้เป็นเรื่องเป็นราวจริงจังสักที
ทว่าสุดท้ายก็ปล่อยปละละเลยด้วยเหตุผลและข้ออ้างสารพัด
ซึ่งตอนนี้ก็หันมากระตือรือร้นและวาดหวังว่าจะเขียนบล็อกให้ต่อเนื่องสักตั้ง

เอาละ ขอเสนอบทความเก่าๆ มาควบรวมไว้ในบล็อกนี้เพื่อเป็นบันทึกแห่งชีวิต พร้อมกับ Edit บ้าง

***


ทุกชีวิตย่อมมีการเริ่มต้นเสมอ มีความเคลื่อนไหวไปตามกาลเวลา
ดั่งสัจธรรมที่ว่า...เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นแล
เรามีชีวิตเพื่อใช้ชีวิต เพื่อเรียนรู้ความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง
ทั้งชีวิตก็ย่อมผ่านประสพทั้งสุข ทุกข์ เหงา เจ็บปวด รื่นเริง ร้องไห้ และหัวเราะ
เราดำรงอยู่ในปัจจุบัน โดยมีอดีตให้ย้อนระลึก ขณะอนาคตยากแท้หยั่งรู้ว่าจะเป็นฉันใด...

ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปมาก สิ่งอำนวยความสะดวกสบายก็มีมากขึ้น พัฒนามากขึ้นไปตามเวลา
อานุภาพและพลังของเทคโนโลยีก็แสนเย้ายวนยากปฏิเสธได้ลง
มนุษย์จึงต้องปรับตัวและจิตใจเพื่อตามให้ทันความเจริญก้าวหน้าที่เปลี่ยนแปลง
เปลือยกาย เปิดหัวใจ ปล่อยความคิด เตรียมรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อเท่าทันอนาคต
เท่าทันแต่อาจมิใช่เท่าเทียม... เพียงแค่เท่าทันเพื่อจะได้เข้าใจอย่างตระหนักชัด
เผื่อว่าเราจะได้สบายใจขึ้นในหนทางที่ก้าวเดิน... มั่นใจขึ้นในทิศทางที่เลือก...

ท่ามกลางสังคมที่ซับซ้อน เร่งรีบ แข่งขัน หรือแลดูโหดร้ายเสแสร้ง
ขณะที่ความไร้เดียงสาก็อาจถูกฉาบแต้มด้วยความเห็นแก่ตัว ความโลภมากของผู้คน
เราอาจเป็นคนแปลกหน้าในสังคมที่ฟุ้งเฟ้อ แดกด่วน และทันสมัย
เราอาจเป็นสามัญชนที่ขลาดเขลาเรื่องเทคโนโลยีและซื่อบื้อในความรัก ความงาม หรือความจริง
ทว่าที่สุดชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างยากหลีกเลี่ยง...

ครั้งหนึ่งของชีวิต...ผู้เขียนได้ตัดสินใจลาออกจากพนักงานกินเงินเดือน
ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่เก็บกดกล้ำกลืนมาพอสมควร
ชีวิตคนเราก็มีจังหวะของมันเอง มีทางเดินที่วาสนาลิขิตกำหนดไว้

ซึ่งอาจมีโชคชะตาคอยให้ท่วงทำนองบรรเลงเป็นแนวทางไปสู่จุดหมายที่ฝันใฝ่

ชีวิตคนทำงานออฟฟิศนี่...
มันเหมือนเรือลำน้อยลอยล่องในมหาสมุทรเวิ้งว้าง
ยามคลื่นสงบ แดดอุ่น ลมอ่อน เรือก็ลอยไปเอื่อยๆ อ่อนโยนประดุจนักพรตบำเพ็ญเพียร
ยามพายุคลั่งอาละวาด ฝนกระหน่ำซัด คลื่นโหมสาดแรง ฟ้ามืดอนธการ
เรือก็โคลงเคลง ล้อลิ่ว แล้วฝ่าทะยานทายท้าประหนึ่งโจรสลัดแห่งท้องทะเล
ไม่รู้ว่า... เรือน้อยลำนี้จะล่องไปถึงชายฝั่ง หรืออับปางสู่ก้นลึก!!!

...เคยนึกย้อนภาพสมัยตอนเป็นนักเรียน นักศึกษา
ชีวิตตอนนั้นกับตอนนี้ช่างแตกต่างอย่างยากอรรถาธิบายความนัยใดๆ
วัยเรียน... เป็นชีวิตที่สนุกสนาน ครื้นเครง สรวลเส มีเพื่อนเยอะมากหน้าหลายตา
เป็นวัยแสวงหา เดินทาง ค้นคิด เผชิญ และลองผิดลองถูกร่ำไป
เป็นวันวัยที่ไม่ต้องห่วงหาหรือพะวักพะวงเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้หนักสมอง
ไม่ต้องนั่งกลัดกลุ้มเรื่องรายได้ไม่พอใช้ เรื่องหนี้สินจิปาถะ เรื่องสารเพที่พลาดพลั้ง
ไม่ต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากครุ่นคิดเรื่องการสร้างชีวิต ครอบครัว หรืออนาคต

ทว่า ณ ตอนนี้...อายุ ๓๐ กว่าๆ กับชีวิตและจิตใจที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน
จากเด็กชนบทที่มาเล่าเรียนจนจบปริญญาตรีในเมืองหลวงแสนศิวิไลซ์
ขณะความรักในช่วงหนุ่มสาวล้มเหลวซ้ำเล่า พบแล้วพราก จากแล้วเจอ
รักในวัยเรียนทำให้รู้คุณค่าอีกแบบหนึ่ง รักในวัยทำงานทำให้เข้าใจความหมายอีกแบบหนึ่ง
กระนั้น ที่สุดแล้วรสชาติแห่งการต้องจากลากันก็ประทับรอยแผลในใจให้ได้ขบคิด--

เรียนจบก็ต้องทำงาน... ช่างเป็นสัจธรรมที่มิอาจปฏิเสธ หรือหาเหตุหลบเลี่ยง
ได้ฤกษ์ได้เวลาเดินสมัครงานเสียที แน่แท้ว่าต้องหางานทำในเมืองหลวงนี่แหละ
แสง สี เสียง เทคโนโลยี อิสตรี และผู้คน เหมือนม่านหมอกที่น่าหลงใหลเสียนี่กระไร
นับเป็นโชคดี (หรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ไม่กลับไปหางานทำที่บ้านนอกให้รู้แล้วรู้รอด)
จึงดุ่มๆ ดุ่ยๆ ไปสมัครงานบริษัทแรกก็ได้งานเลย
สตาร์ทเริ่งงานทันที ๗,๐๐๐ บาท ตอนนั้นปี พ.ศ. ๒๕๓๙
เอาละสิ เงินเดือน ๗ พัน ไหนจะต้องเช่าห้อง ค่าน้ำ ไฟ ค่ากินอยู่ และค่ารมณียสถานยามราตรีฯ
อันดับแรกต้องหาห้องเช่าที่ใกล้ๆ ออฟฟิศ เอาแบบที่เดินไปทำงานน่าจะประหยัดเงินและเวลา
ผมมันเป็นคนประเภทชอบช่วงเวลาค่ำคืน รักการนอนดึกเป็นกิจวัตร และไม่อยากตื่นแต่ไก่โห่
ที่สำคัญไม่ต้องเสียสุขภาพจิตในการถ่อสังขารโหนรถเมล์ไปทำงาน ทั้งประหยัดเงินอีกด้วย
กรุงเทพฯ เมืองอมรรัตนโกสินทร์จะปีไหนๆ รถก็ติดเป็นแช่แป้งตังเม…

นั่นคือจุดเริ่มของการเป็นลูกจ้าง...
ซึ่งหลังจากนั้นก็เปลี่ยนงานตามทัศนะและจิตใจเรื่อยมา
**เบื่อเพื่อนร่วมงาน พวกประจบ พวกแทงข้างหลัง... ลาออก
**เซ็งเจ้านาย ระอาระบบงาน ใช้งานเยี่ยงข้าทาส... ลาออก
**อารมณ์ศิลป์บังเกิด อุดมการณ์บรรเจิด ฮึกเหิม... ลาออก
**หยุดวันอาทิตย์วันเดียว เดินทางไกล (ขี้เกียจย้ายห้องด้วย)... ลาออก
**ทะเลาะกับหญิงสาว อิดหนาคลางแคลงใจ เลยประชดโดย... ลาออก (???)
**ทำงานดี ทุ่มเท ความคิดใหม่ๆ เปล่งประกาย กล้านำเสนอ
เจ้านายปลื้ม เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกฯ แต่เป็นการก้ามข้ามคนเก่าๆ อายุมากกว่าอีกหลายคน
และให้หน.คนเก่ามาเป็นผู้ช่วย ซึ่งทำให้รู้สึกอีหลักอีเหลื่อ
คนเก่าชอบทำงานแบบเดิมๆ วัฒนธรรมครึๆ...ก็ลาออกอีก

สิริรวมๆ เป็นการย้ายบริษัทได้ ๖ บริษัท (คงแบบนี้กระมังที่ชีวิตตอนนี้ลมเพลมพัด)
ซึ่งการลาออกจากงานเป็นการใช้อารมณ์ ความคิด เหตุผลตนเอง และอุดมการณ์ล้วนๆ
ก็คนมันวัยหนุ่ม พลังมันเยอะ ทิฐิ เอาแต่ใจตน ไม่สนเรื่องเงินเดือน เรื่องตำแหน่งแห่งหน
ไม่ถูกใจใคร ไม่ชอบบรรยากาศการทำงานที่แย่ๆ ไร้สีสัน
เกลียดพวกต่อหน้าอย่างแล้วลับหลังอย่าง ก็หน้าไหว้หลังหลอกดีๆ นี่แหละ
รู้สึกโดนเอาเปรียบอย่างแรง ทำดีเจ้านายไม่เคยชม ทำพลาดทำผิดเพียงนิดเป็นเรื่อง!!
หน่ายเอือมพวกใช้ลิ้นทำงานมากกว่าการกระทำหรือใช้สมอง... ก็ลาออกตะพึดตะพือ

วัยหนุ่มช่างคึกคะนองและอัตตาจริงๆ 

.