ช่วงนั้นสภาพชีวิตและจิตใจย่ำแย่มาก
แรกๆ ที่ออกงานก็ยังพอดำรงชีพไหว เพราะมีเงินเก็บออมบ้าง
ทว่าค่าเช่าห้อง ค่ากิน ค่าโน้นค่านี่ มันจะอยู่ได้สักกี่เดือนกันล่ะ?
ด้วยความที่มั่นใจตนเองว่ายังไงๆ เดี๋ยวก็ได้งานใหม่แน่ๆ ยังหนุ่มยังแน่นก็ย่อมยังมีโอกาส
แต่สิ่งที่คิดกับโลกความจริงมันต่างกันลิบลับ เผชิญแบบนี้ความมั่นใจอวดดีลดฮวบลงโข
นั่นแหละทำให้ผมตระหนักถึงชีวิตของคนบ้านนอกที่ไม่มีบ้านในเมือง ไม่มีญาติพี่น้อง
ช่วงเวลาที่ไร้งาน เงินร่อยหรอ ต้องกระเหม็ดกระแหม่ อดมื้อกินมื้อ
บางทีก็ไปอาศัยฝากท้องกับเพื่อนฝูง โชคดีก็ได้เมามายบ้าง
มันเป็นช่วงที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า อืดอาด กลัดกลุ้ม และเศร้าสร้อย…
สมัยนั้น...โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟูอลังการและแพร่ลุกลามดังสมัยนี้
ฉะนั้น แต่ละวันต้องไปร้านหนังสือแล้วยืนเปิดอ่าน และดูพวกนิตยสารสมัครงานต่างๆ
เจอะเจองานที่สนใจก็จะจดๆ แล้วใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโทร.ไปสอบถามก่อน
ตอนนั้น...ไม่ยึดติดแล้วว่าเงินเดือนเท่าไหร่ บริษัทจะใกล้จะไกล ถ้าได้งานจริงๆ ค่อยย้าย
หากบริษัทใดยังรับสมัครอยู่ก็เดินทางไปสมัครงานทันที ไม่อยากปล่อยตัวเองให้ว่างให้เปล่าดายไร้ค่า
คนตกงานนี่ช่างมีเวลาว่างมากมายให้ใช้จ่ายและพร่ำเพ้อจริงๆ มีเวลาถึงขั้นสมเพชเวทนาตัวเองด้วยซ้ำ
ครั้นว่างมากๆ เดี๋ยวพลอยฟุ้งซ่าน จิตเตลิด ทุกข์เทวษ และใบหน้าดูแก่ชราก่อนวัย
หลังจากสมัครงานเสร็จก็กลับมาจมจ่อมอยู่ในห้องแล้วคอย คอย คอย และคอย...
รสชาติของการคอยนี่เหมือนรอฝนตกโปรยปรายในทะเลทรายซาฮาร่าเลย
คอยว่าเมื่อใดจะมีบริษัทไหนโทร.มานัดให้ไปสัมภาษณ์บ้าง
หรือเรารับคุณทำงานค่ะ ^_^
ยามเสียงกริ่งโทรศัพท์ในห้องดังคล้ายเสียงจากสรวงสวรรค์ยังไงยังงั้น...
ช่วงตกงาน...เคยอดมื้อกินมื้อ พวกไข่ไก่ ปลากระป๋อง
ไวไว มาม่าคืออาหารหลักเลย
เคยขายทีวีขายเครื่องเสียงในห้องสนนราคาถูกๆ
จำนำทองที่มีโดยไม่ไปถ่ายถอนออก
เคยรับจ้างแจกใบปลิว เคยช่วยหาเสียงเลือกตั้งส.ส.
เคยแม้นกระทั่งผู้หญิงทำงานกลางคืนให้เงินใช้
เคยอาบน้ำให้สุนัขแล้วพามันไปเดินเล่นเพื่อแลกกับเงินเล็กน้อย
และเคยทำให้แม่ร้องไห้...
ซึ่งน้ำตาแม่นั้นมันทำให้ผมเสมือนลูกอกตัญญู ไม่เอาไหน
ผมไม่น่ามาเกิดเป็นลูกแม่เลย...ลูกที่ไม่เอาไหน...
ช่วงปี ๒๕๔๗ – ๒๕๕๑
เป็นช่วงที่ดำรงสถานภาพพนักงานออฟฟิศของบริษัทหนึ่ง
ซึ่งอายุก็แก่ขึ้นกับความคิดที่มันรอบคอบขึ้น อารมณ์ก็สุขุมขึ้น ด้านชาขึ้น
ไม่บุ่มบ่ามด่วนใจร้อน มองปัญหาอย่างมีความหวัง
ตกผลึกกับข้อเท็จจริงเบื้องหน้า และวางแผนชีวิตเงียบๆ
ทั้งเริ่มมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่มองแบบที่เราอยากให้เป็น…
ซึ่งการเป็นมนุษย์เงินเดือนรอบนี้คือฐานที่มั่นสุดท้ายที่จะอยู่ แต่หาใช่การลงหลักปักฐานยาว
เพราะที่ทำนี่เป็นบริษัทเล็กๆ พนักงานแค่ไม่กี่คน เงินเดือนเพียงหมื่นกว่ากลางๆ
คิดถึงประโยคนี้จัง "คนจนทำงานเพื่อเงิน แต่คนรวยใช้เงินทำงานให้- - "
ขณะที่เรื่องราวความรักก็ไม่ง่ายดายและสวยเพริศเหมือนนวนิยายโรมานซ์ปกหวานแหวว
ที่ผ่านมา... ตั้งแต่เรียนจวบกระทั่งจบแล้วทำงาน ทำงาน และทำงาน
ผมละเลงชีวิตไปกับความสำมะเลเทเมา เสเพลลุ่มหลงความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว
หลงใหลคลั่งไคล้ความสุขแสนสั้น เพลิดเพลินกับมายาภาพ วัตถุนิยม หลงลืมตัวลืมรากเหง้า
ไม่เคยคิดเก็บเงินจริงๆ จังๆ ไม่วางแผนอนาคต ไม่ทำประกันชีวิต
ไม่มีการแบ่งเงินไปลงทุนในกองทุนและหุ้นต่างๆ ขอโบยบินอย่างอิสระและใช้ชีวิตให้คุ้มเป็นพอใจ
เรื่องผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เลิกคิดสิ้นเชิง เงินเดือนเพียงหมื่นกว่าๆ ผ่อนคอนโดถูกๆ ก็เยี่ยมแล้ว
ฉะนั้น ; เงินเดือนออกทีจึงมีแต่จะหาแหล่งเที่ยว หาร้านเหล้าดื่มกับเพื่อนๆ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
ครั้นมีหญิงสาวมาอยู่ร่วมห้อง แทนที่จะคิดสร้างและวางเป้าหมายชีวิตคู่ร่วมกัน
แรกๆ ก็ดี หวานชื่น อิ่มอุ่น ห่วงใย มีสุข เมื่อผ่านๆ ไปก็จืดจาง ไม่เข้าใจ หลายอย่างไม่ตรงกัน
สุดท้ายรักก็ไปไม่รอด ต่างต้องแยกทางกัน น้ำตารินไหล ปวดร้าว หัวใจสลายลาญ.....
เงิน... คำๆ นี้เสมือนมีอำนาจสะกดจิตวิญญาณให้พร้อมยอมพลีและจำนนหมอบราบ
แน่ว่าหนทางแห่งการได้เงินล้วนมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่ว่าใครจะมีความสามารถขนาดไหน
ทั้งคนส่วนใหญ่บากบั่นทำงานก็เพราะต้องการเงิน ปรารถนาใคร่มั่งมีทรัพย์สินศฤงคาร
โลกทุนนิยม โลกบริโภคนิยม โลกไซเบอร์ หรือโลกไหนๆ ก็ยากปฏิเสธเงิน
บ้างว่า... เงินซื้อคนได้ ซื้อใจคนก็ยังได้ ซื้อเรือนร่างคนยิ่งง่าย หรือจะซื้อชีวิตคนก็ยังไหว
ฉะนั้นการซื้อเสียงจึงเสมือนเรื่องธรรมดาๆ พื้นๆ เมื่อเทศกาลเลือกตั้งมาเยือน
เงินอาจบันดาลบางสิ่งบางอย่างให้มนุษย์ยอมขายตัวและขายจิตวิญญาณ
เงินอาจเป็นบันไดต่อยอดเพื่อเติมเต็มหน้าตาและฐานะทางสังคม
เงินไม่เข้าใครออกใคร ทั้งเงินอาจทำให้มีบ้านใหญ่โต มีรถยนต์ราคาแพงระยับ
แต่เงินก็ยังทำให้มนุษย์ประหัตประหารกัน แก่งแย่งชิงดีกัน และเอาเปรียบกันอย่างไม่อาย
บางคนจึงเลี้ยงลูกด้วยเงิน อำนวยลูกด้วยความสะดวกสบายมากกว่าความรักและเวลา
ทว่ากลับมีบางคนที่เห็นค่าของเงิน ใช้เงินเป็น ที่สำคัญยังมีวินัยในการใช้เงิน....
“ดูแต่หอยซิ... ไม่มีมือไม่มีตีน มันยังหากินเองได้เอง...
นับประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า หากินเองไม่ได้ ก็อายหอย...” ปู่เย็นว่าไว้
ประโยคง่ายๆ ธรรมดาจากเฒ่าทระนงผู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทั้งไม่เอาเปรียบใคร
คนเรานี่แสนแปลก มหัศจรรย์นัก ดั่งชีวิตของปู่เย็นที่ยามมีลมหายใจ
ตะแกก็อยู่แบบสามัญ พอเพียง ใช้ชีวิตกินอยู่นอนในเรือ บ้างก็ลอยล่องไปตามแม่น้ำเพื่อหาปลา
ได้ปลาก็เอาไปขายโดยไม่ต้องใช้หัวการค้าแสวงหากำไรเลย และไม่เคยกินของใครฟรีๆ
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ยากจะหาใครเลียนแบบ หรือกระทำตาม...ในใจปู่เย็นรู้สึกไงนะ?
ทว่ายามที่ตะแกสิ้นลม พิธีศพของคนเล็กๆ ผู้ทระนงคนนี้กลับยิ่งใหญ่ทั้งผู้คนคับคั่ง
ขณะที่บางงานศพของคนผู้มีมากกว่า รวยกว่า
ครั้นถึงยามตายอาจเงียบเหงาและไร้ผู้คนกล่าวขาน...
ปู่เย็น เฒ่าทรนง |
ที่สุดผมก็สมัครใจลาออกจากงานประจำอีกรอบ…
ทั้งความคิดและความรู้สึกก็ผสานผสมไปต่างๆ นานา
เวลาร่วมสิบกว่าปีที่ก้มหน้างุดๆ งกๆ อีหลุกขลุกขลุ่ยทำงาน
กระทั่งอายุล่วงสามสิบกว่าๆ ชีวิตช่างอีหลุยฉุยแฉกและยากหาแก่นสาร
บางคราต้องค้อมหัวยอมรับคำตำหนิติเตียนที่ลึกๆ แล้วความผิดแค่ขี้ปะติ๋ว
บางทีต้องโอนอ่อนคล้อยตามเพื่อให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานที่แสนงี่เง่าไม่เข้าท่า
ผสานกับความที่ผมเริ่มอิ่มตัว เบื่อหน่าย จำเจ ไร้พลังสร้างสรรค์ หมดไฟทำงานดื้อๆ
กอปรกับต้องตื่นแต่อรุณรุ่งเพื่อกระวีกระวาดไปตอกบัตรให้ทันเวลาเข้างาน
เฉลี่ยเฉพาะเวลาที่ต้องกระหืดกระหอบเร่งรีบออกจากที่พักไปยังออฟฟิศ
และจากออฟฟิศกลับที่พักก็ตกร่วมๆ ๔ – ๕ ชั่วโมง/ต่อวัน (ไม่อยากคิดเป็นเดือน!)
ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องห้อยโหนหรือไม่ก็สัปหงกบนรถโดยสารประจำทาง รถตู้ หรือรถไฟใต้ดิน
โอ้! เวรกรรมปางไหนหนอที่ผมต้องใช้เวลาเดินทางแสนบน่าเบื่อขนาดนี้---
สูญเสียทั้งเวลา ทั้งเงินค่ารถ ที่แย่ที่สุดคือสุขภาพจิตพลอยเสียไปด้วย
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมตัดสินใจลาออก ก็เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้เข้ามาทำงานบ้าง
จะไปไยไพหรือพิรี้พิไรกับตำแหน่งงานที่ไม่จีรังยั่งยืนทำไมกัน---
คนเก่าไป คนใหม่มา ตลอดจนคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ฯ
ถ้าเราไม่ได้นั่ง วันหนึ่งก็ต้องมีคนอื่นมานั่งหรือจับจองเป็นเจ้าของอยู่ดี
มันเป็นวัฏจักรกงล้อที่หมุนๆ ไป ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าสถาพรหรอก
สุดท้ายคือวันเวลาของผมสำหรับการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นอันตรธานเรียบแล้ว
ในเมื่อใจมันหมดพลัง เหนื่อยล้า หน่ายแหนง ทั้งลึกๆ ก้นบึ้งก็ร้อนรุ่มและเรียกร้องให้เลือกเสียที
ครั้นจะให้ฝืนทนทำงานต่อไปก็เป็นการหลอกตัวเองเปล่าๆ
ทั้งเป็นการเอาเปรียบบริษัท นายจ้าง และเพื่อนร่วมงานอย่างน่าละอายยิ่ง...
แม้นลึกๆ ในใจ... ผมจะรู้สึกและตระหนักเช่นนั้น
แต่จู่ๆ จะให้วู่วามผลีผลามลาออกแล้วมานั่งตกงาน ว่างเปล่า หงอยเหงา
หรือถอนหายใจทิ้งไปวันๆ โดยที่ไม่ก่อเกิดคุณค่าอันใดๆ แก่ชีวิต
ที่สำคัญผมตั้งมั่นแน่วแน่ว่าจะไม่หวนกลับเข้าสู่ระบบการเป็นมนุษย์เงินเดือนอีก
ผมจึงจำเป็นต้องใคร่ครวญหาทางออก ไตร่ตรองถึงหนทางเป็นเจ้านายตัวเอง
ครุ่นคิดว่าจะประกอบอาชีพเช่นไร เพื่อให้มีรายได้ประทังชีวิตและอยู่รอดได้
เพราะรายจ่ายต่อเดือนนั้น... มันฉายชัดแจ่มแจ้งและคอยเตือนกระตุกเสมอ
เรียกแบบโก้ๆ เจือดัดจริตนิดๆ ก็คือภาระหรือความรับผิดชอบนี่แหละ...
ที่สุด; ผมจึงวางแผนการลาออกอยู่เงียบๆ แล้วหมั่นท่องเว็บต่างๆ เพื่อหาความรู้
ดูช่องทางหาเงิน ศึกษาคนที่เคยออกมาค้าขาย พินิศทำเล คำนึงถึงต้นทุน
กล่าวได้ว่าผมล็อกออนเข้าอินเทอร์เน็ตที พลันต้องอ่านโน่นอ่านนี่
แวบไปครูพักลักจำเว็บหนึ่ง แล้วคลิกพรวดไปตะลึงลานตาลุกวาวกับตัวเลขรายได้อีกเว็บหนึ่ง
จากนั้นก็หวาดหวั่นแลหมองหม่นกับคนที่ทำมาค้าขายขาดทุนอีกเว็บหนึ่ง---
ช่วงที่ตัดสินใจว่าจะลาออกเพื่อสุ่มเสี่ยงหาอาชีพอิสระทำนั้น
นับว่าเป็นห้วงจังหวะที่ต้องคิดหนัก ประเมินความเป็นไปต่างๆ สารพัด
บางคราถึงครั้นต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “โอ้! เราคิดดีจริงๆ แล้วหรือ?”
“นี่เป็นการเดิมพันชีวิตทั้งชีวิตเลยนะ” และ “ถ้าพลาด...จะเป็นยังไงล่ะเนี่ย?”
ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ามัวลังเล ปอดแหก ยึกยื้อ ปริวิตก ขลาดเขลา
กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด หวั่นในสิ่งที่ยังไม่ลงมือทำ อิดออดและอ่อนแอ
ชีวิตนี้คงต้องเป็นลูกจ้างต่อไป หัวใจก็ถูกพันธนาการเรื่อยไป....
.