24 มิถุนายน 2555

Life บางเสี้ยวชีวิตในวันเก่าๆ ๓

ร้านอาหารตามสั่ง--- 

ผมสาบานและสารภาพเลยว่า...
ไม่เคยมีความคิดในสมองที่จะต้องมาลงทุนเพื่อทำอาชีพขายอาหารสักแวบ
จริงๆ ผมตั้งใจมั่นเหมาะว่าอยากจะเปิดร้านขายเสื้อผ้า กางเกงยีนส์ กระเป๋า รองเท้า
หรือไม่ก็พวกของกิฟต์ช็อป และสินค้าแฮนด์เมดมากกว่า
อีกทางเลือกหนึ่งก็คือร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ เปิดร้านเหล้าให้รู้แล้วรู้รอดเลย
แต่ด้วยความรักที่แสนยิ่งใหญ่ อลังการ วิจิตร แสนห่วงใย และบริสุทธิ์ของแม่—
เฮ้อ! พูดถึงแม่แล้ว...
ผมพิมพ์ไม่ออกเลย มันไม่รู้จะเรียงร้อยถ้อยคำจาระไนเช่นไร
ปุบปับผมก็สูญสิ้นประโยคที่จะบอกกล่าวถึงความรักและความห่วงใยที่แม่มีต่อลูก
ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ผมเขียนหรือพิมพ์ต่อไปไม่ไหว...คล้ายนักมวยหมดสภาพก่อนขึ้นเวที

ร้านอาหารตามสั่ง--- ผมค้างคาประโยคตรงนี้ไว้หลายวันทีเดียว
คล้ายคนโง่เขลาอับจนที่เรียบเรียงประเด็นไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นไปในท่วงทำนองใด
เหตุหลักๆ ที่ผมเลือกมาทำร้านอาหารตามสั่งก็เพราะ...เพราะคำเตือนที่หวังดีของแม่นั่นเอง
อย่างน้อยอาหารก็เป็นปัจจัยหลักของการดำรงชีวิต ทุกคนต้องกินข้าว ต้องบริโภคอาหาร
หากให้ไปลงทุนขายเสื้อค้าหรือลงสินค้าพวกกิฟต์ช็อป ยังไงๆ ก็ต้องเสียเงินซื้อข้าวปลาอาหารกินแหงๆ
แต่ถ้าทำร้านอาหารตามสั่ง เราสามารถกินไปในตัวได้เลย ทำเองกินเองไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ
แล้วเผื่อสมมุติถ้าเสื้อผ้าขายไม่ดี ของกิฟต์ช็อปดันขายไม่ออก หรือสินค้าแฮนด์เมดเกิดขายยาก
แม้ว่าสินค้าพวกนี้ไม่เน่าไม่เสีย ทว่าก็ต้องตามยุคสมัย อินเทรนด์ และปรับเปลี่ยนตลอดเทศกาล
โอกาสเห็นกำไรคงหนาวๆ ร้อนๆ ยิ่งทำเลไม่ดีมีหวังเอวังวิเวกจนอาจวอดวายดับวูบโดยง่าย


ขณะที่เงินลงทุนของผมก็จำกัดจำเขี่ย ทั้งต้องคิดหน้าคิดหลังอย่างเจียมตัวที่สุด
จึงจำเป็นต้องฉุกคิดก่อนที่สถานการณ์จะฉุกละหุก กระทั่งทำให้ชีวิตปราชัยเป็นหนี้พันตัว
เมื่อได้รับโอวาทและถ้อยปรารถจากบุพการีที่ทำให้ผมพลันสดับตรับฟังอย่างตรึกตรอง
ในที่สุดแม่ของผมก็เดินทางจากต่างจังหวัดมายังกรุงเทพฯ แล้วก็ปรึกษาหารือกัน
ด้วยความที่แม่เป็นแม่ค้าขายอาหารมาก่อน ทั้งขายข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารตามสั่ง
แม่ล้วนทำมาหมด ฉะนั้นประสบการณ์อันยาวนานตรงนี้ของแม่จึงมีค่ามหาศาลต่อผมในวันนั้น...

เมื่อหัวข้อที่จะเลือกเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง ฉะนั้น... ผมจะขายอาหารไรดีล่ะ?
แล้วอินเทอร์เน็ตก็คือกุญแจแสนไฮสปีดรวดเร็วในการไขหาคำตอบ---
ที่สุด; ผมก็เจอคนที่ลงประกาศเซ้งร้านอาหารตามสั่งเจ้าหนึ่งในราคา ๕ หมื่นบาท
รายละเอียดที่โพสต์ไว้น่าสนใจ เปิดเผย ทั้งบอกให้ไปดูร้านก่อนที่จะตัดสินใจ
ทำเลก็เยี่ยมและใกล้ที่พักผมด้วย มีการการันตีรายได้ต่อวันหลัก ๓ – ๔ พัน
เวลาขายก็บ่ายๆ จนถึง ๔ ทุ่ม บ๊ะ! ไม่ต้องตื่นเช้านี่หวา-ผมชอบ (ลืมคิดไปว่าต้องตื่นเช้าไปจ่ายตลาด)
ผมกับแม่จึงตัดสินใจไปดูร้านฯ และพูดคุยกับเจ้าของถึงเหตุผลที่จะเซ้ง
หลังจากนั้นผมก็ยังแวะเวียนไปสังเกตการณ์ช่วงเวลาที่คนมากินเยอะๆ อีก ๓ ครั้ง
เพื่อความมั่นใจว่าเขาขายได้จริงๆ ขายได้วันละเท่าไร? ค่าเช่า + น้ำ + ไฟ ต่อเดือนตกกี่บาท?
ค่าของสด ผัก และวัตถุดิบต่อวันประมาณไหน? เฉลี่ยเดือนหนึ่งน่าจะกำไรเท่าไร?
และถ้ามีกำไรจริงๆ ไยถึงประกาศเซ้งล่ะ? --- ซึ่งผมก็ได้รับคำตอบจากปากคนเซ้งว่าดูแลไม่ไหว แก่แล้ว
ซึ่งระหว่างนั้นก็มีคนสนใจมาดูร้านฯ อีก ๔ – ๕ เจ้า เสมือนเป็นการโหมไฟให้ผมต้องรีบตัดสินใจเสียที
ผมจะมัวชักช้า นิ่งนอนใจ และคิดมากคงไม่ทันการณ์แน่ สถานการณ์หลายด้านก็เร่งเร้าเสียด้วย
ไม่รู้ว่าคนอื่นที่มาดูหรือคุยกับคนเซ้งจะคิดเห็นประการใดกัน เกิดคนอื่นเซ้งไปก่อนผมล่ะ?

ช่วงนั้นผมยังทำงานประจำอยู่... แม่ก็สนับสนุนเรื่องร้านอาหารที่ไปดูกัน
อีกประเด็นหนึ่งคือแถวนั้นอพาร์ตเมนต์ผุดเป็นดอกเห็ดและพลุ่งพล่านมากมายด้วยนักศึกษา
ทำเล... ถือว่าใช้ได้เชียว ลูกค้าไม่ได้สถิตถาวร (เรียนจบก็แยกย้ายไปตามทางของตน)
จึงหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากัน ซึ่งส่วนใหญ่พวกนักศึกษาคงไม่หุงข้าวหรือทำกับข้าวกินเองแน่
ทั้งวัยเรียนก็ไม่ใช่วัยหารายได้เอง การจะเห็นค่าของเงินย่อมไม่คำนึงหรือคิดมาก
ยิ่งเป็นเรื่องกินย่อมจ่ายได้สบาย... เสื้อผ้าไม่ซื้อไม่เป็นไร แต่ถ้าท้องร้องนี่สิ ต้องกิน...
เมื่อคิดสะระตะถ้วนถี่ ถึงเวลาตัดสินใจเสียที ที่สุดผมก็รับเซ้งร้านอาหารตามสั่งร้านนี้

ด้วยความโลภมาก คิดว่าตัวเองไหว อยากมีรายรับสองทาง และใคร่อยากคืนทุนที่เซ้งเร็วๆ
ผมพลันคิดว่าจะทำงานประจำให้ถึงสิ้นปี เพื่อหวังโบนัสติดปลายนวมบ้าง
ส่วนร้านอาหารฯ แม่ก็อาสาจะดูแลให้ เพราะแม่มีประสบการณ์ตรงนี้ ขณะที่ผมไม่มี

จับปลาสองมือ ช่วงที่ผมเซ้งร้านเสร็จสรรพ ผมก็ยังทำงานประจำ ขณะแม่ไปบริหารร้านฯ
โดยที่ผมจ้างแม่ครัว ๑ คน และเด็กช่วยอีก ๑ คน นี่จึงนับเป็นรายจ่ายค่าจ้างที่ลดทอนกำไร
ที่สุดผมก็ยืนหยัดไม่ไหว ด้วยต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน เลิกงานก็ไปช่วยที่ร้านอาหาร
ส่วนเรื่องไปจ่ายตลาด ตกค่ำก็สำรวจของแล้วจดรายการไว้ และเอาให้คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปซื้อแทน
ขณะเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุดเพราะเป็นช่วงวันที่ขายดี ถือเป็นช่วงที่กอบโกยเงินก็ว่าได้
ฉะนั้นกว่าจะปิดร้านฯ กลับห้อง ทำบัญชี เข้านอน แทบจะเที่ยงคืนหรือไม่ก็ตีหนึ่งตีสอง
จึงเป็นเหตุให้ผมไปทำงานสายบ่อย สมองจึงเบลอๆ ร่างกายก็อ่อนเพลีย หัวใจก็จมละเหี่ย
ไหนผมจะเอาแม่มาลำบากลำบนกับผมอีก ท่านอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดก็ดีๆ เพลินๆ อยู่แล้ว
ทว่านี่ผมกลับเอาแม่มาช่วย เอาท่านมาเหนื่อย ดีหน่อยที่แม่พอมีความสุขยามได้ทำได้ขาย
ผสานกับความรักและความห่วงใยที่มีต่อลูกแย่ๆ อย่างผมด้วยกระมัง ^^

ตลอด ๒ เดือนกว่าที่ผ่านมา... ๓ เดือนกว่าที่ผ่านไป...
การออกมาค้าขายทำให้ผมได้เรียนรู้และตระหนักถึงชีวิตมากขึ้น
โลกในความคิดกับโลกแห่งความจริง มันต่างเวอร์ชั่นกันเลย
เหมือนที่หลายๆ คนว่าไว้เปี๊ยบ ออกมาทำเองนี่แสนเหนื่อย แทบไม่มีเวลาส่วนตัว
บางทีถึงกลับท้อ อยากเลิก และหันไปหาอาชีพอื่นทำด้วยซ้ำ
ครั้นจะถอดใจศิโรราบง่ายๆ ก็เร็วไป ถึงขั้นนี้ต้องลุยให้เต็มที่สักตั้ง ยังไม่ถึงเวลาถอย
ยิ่งบางช่วงที่ยอดขายกลับต่ำลงเพราะปิดเทอม เลยทำให้ต้องคิดหนัก ต้องหาทางประคองตัว
ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า... อยากเลิก อยากเซ้งต่อ
ซึ่งก็ได้แต่คิดและถอดหายใจอย่างเศร้าสร้อย...วังเวง...

ในที่สุดสู้มานะทำร้านอาหารตามสั่งได้เกือบๆ ปี ก็ต้องยอมเซ้งให้คนอื่นไป
แล้วก็กลับไปเป็นพนักงานรับเงินเดือนแบบเก่า- - -

.