เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมที่แน่แท้ ไม่มีใครหลีกพ้น
สักวันหนึ่ง...ลมหายใจต้องถึงกาลแผ่วเบาและหยุดสนิท
วันเวลาสุดท้ายของชีวิตหนึ่งที่สุดก็กลับคืนสู่สามัญ ดับสิ้น

เราอาจมีเวลาทำอะไรๆ ได้มากมาย มีโอกาสจะทำสิ่งที่สร้างสรรค์และไร้สาระ
เราอาจร้องไห้ให้กับผีเสื้อที่แห้งตาย เราอาจหัวเราะให้กับแมวที่เล่นซุกซน
เราอาจยิ้มให้กับตัวเองโดยไม่มีเหตุผลอันใด
หรือเราอาจกู่ตะโกนเพื่อปลดปล่อยความในใจบางอย่างให้หลั่งไหลออกมา
ใช่, เราอาจแม้กระทั่งทำอะไรบ้าๆ เปิ่นๆ ยามอกหัก หรือร้องเพลงพึมพำอย่างเดียวดายได้
หลายๆ คนคงเคยผ่านห้วงที่เศร้าสุดแสน ผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ที่สุด ผ่านจังหวะชีวิตที่ตกต่ำสุดๆ
ขณะที่อีกหลายๆ คนพบพานเรื่องแสนโรแมนติก ประสบแต่ความสำเร็จงดงาม มีชีวิตอย่างสุขสบาย
ทว่าความสุขแท้จริงอยู่ตรงไหน ความสงบอยู่ที่ใด ความโลภจะสิ้นสุดเมื่อใด
ความสุขนั้นอยู่ที่ภายนอกหรือภายใน หรืออยู่ที่ความจนและความรวย...
การศึกษาสอนอะไรให้ผู้คนบ้าง ฉลาดขึ้น โกงขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้นหรือเปล่า--
โลกมีความน่ารักและความงดงามซ่อนเร้นทุกที่ มีไมตรีจิตบริสุทธิ์ที่พร้อมมอบให้แก่กันตลอด
ผู้คนก็มีความเห็นอกเห็นใจกันและพร้อมเสียสละเสมอยามเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเดือดร้อน
มือจับมือ ใจคล้องใจ ยามเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องการความช่วยเหลือจะไม่รีรอที่จะยื่นมิตรภาพให้
ผู้คนเกิดมาจะมีเวลาอยู่บนโลกนี้นานเท่าใดเชียว ๔๐ ปี ๕๐ ปี ๖๐ ปี หรือ ๘๐...๙๐ หรือ ๑๐๐ ปี
พูดถึงเรื่อง "เวลา" ทีไร ให้นึกถึงหนังสือนิยายเรื่อง "เวลา" ของนักเขียนนาม ชาติ กอบจิตติ ทุกที
วรรณกรรมที่ได้รับรางวัลรางวัลซีไรต์ปี 2537 และรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งชาติ ปี 2537
หรือเราย่างสู่วัยชราภาพเข้าไปทุกที ในวันที่เราแก่ตัวลงจะมีใครคอยดูแลเราบ้าง --
ติ๊กต่อกๆ เสียงนาฬิกาดังแผ่วๆ คล้ายถ่านใกล้จะหมดในอีกไม่ช้า...
นาฬิกาหยุดเดินยังเปลี่ยนถ่านก้อนใหม่ได้ ทว่าชีวิตที่ไร้ลมหายใจนั้นคงไม่มีถ่านจะเปลี่ยน
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า และปีแล้วปีเล่า
ในขณะที่ชีวิตคนเริ่มเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้น้อยลงๆ
.